เขาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของฉันแล้วยกมือขึ้นถูจมูกและยิ้มออกมา “เสี่ยวเซิง หน้าหนูเหมือนแม่ของหนูมากเลย เหมือนแม่ของหนูสมัยสาวๆ มากๆ”
ฉันคิดว่าตอนที่แม่ฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่ท่านคงถูกเขาทรมานมาไม่น้อย ฉันสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงบนเก้าอี้
“คุณมาหาฉันทำไม?”
“ดูหนูพูดเข้าสิ หนูเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพ่อนะ หนูดูสิ ตอนนี้หนูเป็นเจ้าของบริษัทแล้ว แต่พ่อหนูยังต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายอยู่เลย หนูจะไม่ช่วยจริงๆ เหรอ?”
“คุณเป็นพ่อแท้ๆ ของเซียวเซิงไหมยังต้องพูดอีกเหรอ อย่ามานับญาติกันแถวนี้” เฉียวอี้พูดขึ้น
เจี่ยงเทียนมองเธอแวบหนึ่งแล้วหันมาพูดกับฉัน “เสี่ยวเซิง หนูจะนับว่าพ่อเป็นพ่อไหม พ่อไม่สนหรอก เพราะยังไงการที่หนูใช้แซ่เซียวมันก็ดีกว่าแซ่เจี่ยงอยู่แล้ว พ่อก็หวังว่าหนูจะได้ดีใช่ไหมล่ะ พ่อจะได้อาศัยบารมีหนูด้วย”
“คุณไปเถอะ” ฉันพูดขึ้น “ฉันจะทำเหมือนไม่เคยเจอคุณมาก่อน”
“หนูไม่ยอมรับพ่อก็ไม่เป็นไร แต่พ่อเป็นพ่อของหนูจริงๆ ตอนหนูยังเด็ก พ่อยังเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หนูเลย ที่ก้นหนูมีปานแดงด้วยใช่ไหม? พ่อก็มีตรงนี้ หนูได้รับพันธุกรรมมาจากพ่อจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย” เขาพูดพลางดึงกางเกงของตัวเองไปด้วย
เฉียวอี้ตะคอกออกมา “ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีกฉันจะเรียกยามแล้วนะ!”
ได้ยินดังนั้นเขาจึงหยุดมือลง “เสี่ยวเซิง พูดจริงๆ นะ สถานการณ์พ่อตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มือไม่ขึ้น แถมยังติดหนี้เขาอีก ถ้าหนูไม่ช่วยพ่อ พ่อต้องโดนเขาฆ่าตายแน่ๆ”
นี่มันพล็อตพื้นฐานของละครรักดราม่าในไต้หวันเลยนะเนี่ย นางเอกมีเรื่องราวชีวิตที่ย่ำแย่ แล้วพ่อที่ติดหนี้เป็นกองก็มาหาและวุ่นวายกับนางเอกถึงที่
ส่วนนางเอกน่ะ ปกติต้องร้องไห้น้ำตานองหน้าแล้วรอให้พระเอกมาช่วย แต่ฉันยังไม่ทันได้ร้อง เฉียวอี้ก็ผลักเขาออกไปซะก่อน “ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแท้ๆ ของเซียวเซิงไหม แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาขอเงินเธอ ไสหัวไปให้ไกล ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี!”
เฉียวอี้รูปร่างสูงกว่าเจี่ยงเทียน เธอผลักเขาออกไปไม่กี่ครั้ง เจี่ยงเทียนก็ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว
เธอด่าออกมาด้วยความโกรธที่มากกว่าฉันอีก “เฉิ่งซินหลานนี่โคตรร้ายเลย แล้วยังจะหาเจี่ยงเทียนมาทำให้เธอรู้สึกรังเกียจอีก ตอนนี้ทั้งเครือข่ายก็คงรู้หมดแล้วว่าเธอมีพ่อแบบนี้”
“มันคงไม่มีทางออกแล้วล่ะ” ฉันพิงเก้าอี้แล้วพูดเสียงเบา “ทำได้แค่ยอมรับมัน”
“ฉันจะหาคนพาเขาปล่อยไปกับจรวดแล้วออกนอกโลกไปซะ” เฉียวอี้ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างร้ายกาจเพื่อระบายอารมณ์
“เขาต้องมาก่อความวุ่นวายให้ฉันไม่เลิกแน่” ฉันพูดขึ้น “ก็เหมือนที่เขาบอกว่าเขาจนมาตั้งหลายปี ตอนนี้รู้ว่าลูกสาวของเขารวยขนาดนี้ จะไม่ดูดเป็นปลิงได้ไง?”
“คนแย่ๆ แบบนี้ ฉันมีวิธีรับมือ” เฉียวอี้ตบไหล่ฉัน “เธอไม่ต้องห่วง เขาจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้เธอได้อีก”
ฉันนั่งเงียบบนเก้าอี้อยู่นานโดยไม่ได้คิดอะไรอีก แม้แต่เฉียวอี้กำลังทำอะไรฉันก็ยังไม่รู้ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เริ่มพูดขึ้นกับฉัน พูดอยู่นานฉันถึงเพิ่งเข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร
เธอพูดกับฉัน “เจี่ยงเทียนโดนไล่ไปแล้ว ฉันบอกพี่เสี่ยวฉวนแล้วว่าต่อไปให้หาบอดี้การ์ดให้เธอสักสองคน แค่นี้เจี่ยงเทียนก็เขาใกล้เธอไม่ได้แล้ว”
“เฉียวอี้” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเธอ “ฉันถามเธอหน่อย”
“ว่าไง ถามมาสิ”
“ถ้าพ่อแท้ๆ ของฉันเป็นคนดีมากๆ ฉันยังจะทำกับเขาแบบวันนี้ไหม?”
“ฮะ?” ดูเหมือนเฉียวอี้จะงงกับคำถามของฉัน ดวงตาเธอเบิกตากว้างแล้วมองมาที่ฉัน “อะไรนะ?”
“ถ้าเขาเป็นนักธุรกิจ หรือว่าศิลปิน สถาปนิกหรืออะไรก็ได้ที่ประสบความสำเร็จ แล้วจู่ๆ เขาก็โผล่มาเจอกับฉันตอนนี้ ฉันจะให้คนไล่เขาออกไปไหม?”
เฉียวอี้กะพริบตาปริบๆ “เซียวเซิง คนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อคน เมื่อก่อนคุณแม่ถูกเขาทรมานมามากแค่ไหน ไม่งั้นท่านไม่พาเธอหนีไปทั่วหรอก”
“ใช่ เขาไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อฉันจริงๆ แต่ถ้าเขาเป็นขึ้นมาจริงๆ ล่ะ?”
ฉันจะมอบหยกแกะสลักชิ้นนี้ให้กับคุณแม่สี โดยใส่มันไว้ในกล่องผ้าไหม ก่อนหน้านี้สีชิงชวนถามฉันว่าในกล่องคืออะไร และฉันตอบเขาไปว่ามันคือหยก
เขาพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ผมควรพาคุณไปดูที่เก็บของส่วนตัวของแม่ผม หยกล้ำค่าแค่ไหนก็มีหมด ผมว่าของคุณมันก็แค่หยกธรรมดาๆ เองล่ะมั้ง!”
“หยกน่ะธรรมดา แต่เป็นงานฝีมือที่หาไม่ได้ตามท้องตลาดแน่นอน”
เขาดูถูกฉัน “จะโม้ก็ยังต้องเขียนบทอีก”
ฉันค้นพบว่าการเถียงกับสีชิงชวนทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาก ดูเหมือนความกดดันที่เจอเจี่ยงเทียนป้วนเปี้ยนไปมาเมื่อตอนกลางวันจะลดลงไปเยอะเลย
ฉันนำหยกแกะสลักที่ฉันแกะไว้เรียบร้อยแล้วมอบให้คุณแม่สี ท่านรับไปแล้วพูดขึ้น “หนักจัง อะไรเหรอ?”
“หยกค่ะ”
“อ้อ” น้ำเสียงของท่านราบเรียบ คงเป็นเพราะท่านได้รับของขวัญที่มีค่ากว่านี้มาเยอะแล้วแน่ๆ แต่ท่านก็ยังพูดกับฉันอย่างมีมารยาท “ขอบใจนะเซียวเซิง มีน้ำใจจริงๆ”
“คุณแม่ เปิดดูสิครับ” จู่ๆ สีชิงชวนก็พูดขึ้น “ดูซิว่าจะ LOW แค่ไหน”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่” เดิมทีคุณแม่สีไม่ได้จะเปิดกล่องนั้นหรอก แต่สีชิงชวนพูดมาแบบนี้ท่านจึงเปิดมันออกมาดูจริงๆ
พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองยืนอยู่ข้างๆ อย่างรอคอย พวกเธอก็มั่นใจมากเช่นกันว่าคุณแม่สีจะต้องไม่ชอบของที่ฉันมอบให้แน่ๆ
คุณแม่สีเปิดฝากล่องออกอย่างเบามือ จากนั้นก็เปิดผ้าเช็ดหน้าไหมที่ฉันห่อไว้อย่างดีออก ปรากฏให้เห็นรูปแกะสลักเล็กๆ ที่วางอยู่ในผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาว
“โอ๊ะ” คุณแม่สีร้องออกมาอย่างตื่นใจ จากนั้นจึงหยิบรูปแกะสลักนั้นออกมาดูอย่างละเอียด “รูปฉันเหรอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
สนุกมากเป็นอะไรที่ลุ้นตามตลอดถึงนางเอกจะดูโง่ๆแต่ก็สนุกมากครับชอบแนวนี้มากก...
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...