พายุรักแห่งเม็ดทราย นิยาย บท 34

เจ้าชายซารีฟร์ก้าวลงจากรถสปอร์ตหรูพร้อมด้วยใบหน้าบึ้งถมึงทึงดวงตาลุกวาวเพราะความหึงหวงเมื่อมองเห็นนาราภัทรกำลังนั่งคุยกับหนุ่มตาน้ำข้าวด้วยท่าทางกระหนุงกระหนิงดูสนิทสนมเกินควร ยิ่งได้เห็นหนุ่มตาน้ำข้าวผมทองก้มลงมาใกล้จนจมูกโด่งเกือบแตะสัมผัสกับพวงแก้มเนียนใสยิ่งทำให้ลมแห่งความหึงหวงก่อตัวเป็นลูกใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”

เจ้าชายซารีฟร์เปิดฉากสงครามแห่งความหึงหวงทันทีที่เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ดวงตาคมกริบจ้องมองเขม็งที่หนุ่มตาน้ำขาว

นาราภัทรเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายหนุ่มด้วยแววตางงๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายตะคอกถามเสียงแข็ง เธอหันไปมองหนุ่มต่างชาติที่เป็นลูกศิษย์ของตนเองครู่หนึ่งก่อนจะหันมาเอ่ยตอบคนถาม

“เอ่อ...เขาชื่อฌอนค่ะ เป็น...”

“มันเป็นใคร”

เจ้าชายซารีฟร์ถามแทรกขึ้นมาโดยที่นาราภัทรเอ่ยพูดยังไม่ทันจบประโยคดี ใช้แค่เพียงใบหน้าถมึงทึงตีหน้ายักษ์ใส่กอปรกับสายตาคมกริบที่ลุกวาวด้วยเพลิงหึงหวงยังไม่สาแก่ใจ เจ้าชายหนุ่มนักรักได้ก้าวเข้าไปนั่งแทรกระหว่างกลางใช้เรือนกายกำยำใหญ่โตดันหนุ่มตาน้ำข้าวจนเกือบตกจากเก้าอี้หินอ่อน

“เจ้าชายซารีฟร์ เกิดบ้าอะไรขึ้นมาคะ” นาราภัทรตวาดแว้ดด้วยความโมโหออกจะงุนงงกับการกระทำของเจ้าชายผู้นี้เอามากๆ

“เราถามว่ามันเป็นใคร” เจ้าชายหนุ่มกัดฟันกรอดถามย้ำเผยอาการหึงหวงออกมาอย่างลืมตัว

“ถ้าฟังสักนิดก็จะรู้ว่าเขาเป็นใคร”

นาราภัทรย้อนกลับทันควันเอียงคอจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคมดำสนิทไม่แน่ใจว่าตนเองตาฝาดหรือเปล่าที่ได้เห็นความรักความห่วงหาหึงหวงที่เผยให้เห็นชั่วครู่

หนุ่มตาน้ำข้าวผมทองนามว่าฌอนรับรู้ได้ถึงลมหึงหวงที่เผยออกมาจากบุรุษหนุ่มอาหรับจึงรีบผุดลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวกับนาราภัทรแต่แทนที่จะเดินจากไปเงียบๆ หนุ่มตาน้ำข้าวกลับแกล้งทิ้งระเบิดลูกใหญ่ด้วยการส่งยิ้มหวานพร้อมกับส่งจูบให้กับนาราภัทรเป็นการทิ้งท้าย

เจ้าชายซารีฟร์เดือดพล่านกัดฟันกรอดจ้องมองตามหนุ่มผมทองไม่วางตาพอหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งแนบชิดแล้วเห็นรอยยิ้มหวานที่ยังคงยิ้มค้างให้กับชายที่เดินจากไปถึงกับโมโหหน้ามืดตามัวกระซิบถามเสียงลอดไรฟัน

“น้ำหนาว ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ถ้าหากเจ้าไม่ตอบเราจะไปหาประวัติของมันเอง”

ในตอนแรกนาราภัทรอยากแกล้งคนขี้โมโหเอาแต่ใจแต่นึกๆ ไปก็สงสารหนุ่มต่างชาติที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยดีไม่ดีจะเจอลูกบ้าพายุเดือดของเจ้าชายแห่งแผ่นผืนทะเลทรายเอาจึงได้เอ่ยตอบออกมา

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ก็บอกแล้วว่าเขาชื่อฌอนเป็นลูกศิษย์ของน้ำหนาว”

“ลูกศิษย์งั้นหรือ” คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจขณะทวนเสียงสูง

“ค่ะ ฌอนเขาหลงรักสาวไทยคนหนึ่งจึงอยากเรียนพูดอ่านภาษาไทยให้คล่องเพื่อเป็นการเอาใจสาวเจ้าด้วย”

รอยยิ้มกว้างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้ม ความหึงหวงถูกละลายไปพร้อมๆ กับสายลมเมื่อได้รับรู้ความจริงที่ทำให้หายใจคล่องขึ้น

“แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนแรก”

เจ้าชายซารีฟร์แสร้งทำเสียงขึงขังกลบเกลื่อนอาการของตนเองขึ้นชื่อว่าเป็นคาสโนว่าเป็นนักรักแห่งท้องทะเลทรายจะให้ยอมรับง่ายๆ ว่าตนเองกำลังถูกพิษหึงเล่นงานจนลืมตัวก็เสียฟอร์มแย่

“แล้วเจ้าชายฟังหรือเปล่าล่ะคะมาถึงก็ฟาดงวงฟาดงาไม่ฟังใครทั้งนั้น”

นาราภัทรยกมือเท้าสะเอวตอกกลับโดยไม่นึกหวาดกลัวเล่นเอาเจ้าชายซารีฟร์ถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ

“นี่เจ้าว่าเราหรือน้ำหนาว”

“ก็ใช่สิคะ อยู่กันแค่สองคนแล้วเจ้าชายคิดว่าน้ำหนาวจะว่าใครถ้าหากไม่ใช่เจ้าชายซารีฟร์”

เจ้าชายซารีฟร์คลี่ยิ้มพรายเป็นสุขใจที่ได้เอ่ยต่อปากต่อคำเล็กๆ น้อยๆ กับหญิงสาวที่ตนเองหลงรักหมดใจ เขาก้มลงลดริมฝีปากร้อนผ่าวโบกสัมผัสบางเบาตรงพวงแก้มแดงปลั่งพร้อมกับแกล้งกระซิบขู่

“ถ้าไม่ได้อยู่ในมหา’ลัย เราจะจูบทำโทษเจ้าที่บังอาจมาต่อว่าเจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีน”

“เชอะ!...นึกว่ากลัวหรือไง”

นาราภัทรทำเสียงขึ้นจมูกขึงตามองคนที่กำลังยิ้มอบอุ่นให้จากนั้นก็ยิ้มตอบบ้างแล้วเอ่ยต่อว่ากลั้วหัวเราะ

“นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในมหา’ลัย เจ้าชายจะถูกด่าเปิงมากกว่านี้อีก”

“เราคงถูกด่าเหมือนวันแรกที่พวกเราเจอกันใช่ไหม”

น้ำเสียงที่เอ่ยต่อว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ มือใหญ่โอบกอดไปรอบเอวบางคอดกิ่วขณะพาเดินตรงไปที่รถสปอร์ตคันงาม

นาราภัทรอายหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงวันที่เธอนินทาเจ้าชายหนุ่มเสียเละ “ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าชายฟังภาษาไทยออก หน้าตาออกจะเป็นคนอาหรับแท้ซะขนาดนั้น”

“เจ้านี่เหลือเกินเลยน่ะ เรื่องให้ยอมรับผิดไม่มี”

“เจ้าชายก็ผิดเหมือนกันแหละ มีที่ไหน? ฟังภาษาไทยออกพูดได้ชัดถ้อยชัดคำแต่ไม่ยอมแสดงตัวแอบฟังคนอื่นนินทาตัวเองอยู่นั่นแหละ”

“เฮ้อ!...” เจ้าชายซารีฟร์อมยิ้มกริ่มแสร้งถอนหายใจยาวออกรถด้วยความนุ่นนวลจากนั้นก็เอ่ยต่อว่าแก้วตาดวงใจตนเองอีกครั้ง

“นี่เราเถียงไม่ชนะเจ้าเลยใช่ไหม”

“ไม่มีทาง...ต่อให้เถียงกันทั้งคืนเจ้าชายก็เอาชนะน้ำหนาวไม่ได้หรอกค่ะ”

“อืม...ถ้างั้นคืนนี้เราไม่เถียง...แต่จะทำอย่างอื่นมากกว่า”

ได้ผลชะงัก! คำพูดที่ติดกำกวมดวงตาคมกริบที่ทอดมองเผยให้เห็นดวงไฟแห่งความปรารถนาลูกใหญ่ทำเอานาราภัทรหุบปากฉับรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“วันนี้เจ้าชายอยากทานอะไรคะ”

เจ้าชายซารีฟร์รีบคว้าร่างบางไว้ก่อนที่จะก้าวพ้นจากตัวรถและเมื่อได้เห็นแววกังวลเป็นห่วงที่ระบายทั่วใบหน้างามหวานกอปรกับดวงตาคู่สวยที่แดงก่ำกะพริบตาถี่ๆ ราวกับว่ากำลังไล่หยาดน้ำตาให้จางหายไปจากดวงตากลมโตทำให้เขาต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขใจเมื่อรับรู้สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความรักความห่วงใยที่แผ่ออกมาจากตัวหญิงสาว

“นี่เจ้าเป็นห่วงเราหรือน้ำหนาว” เจ้าชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้งเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง

นาราภัทรสะบัดหน้าหนีปรับสีหน้าแววตาให้เป็นปกติ “ไม่ได้เป็นห่วงใครทั้งนั้น ใครอย่าจะออกศึกกับมือสังหารก็เชิญ”

เจ้าชายนักรักคลี่ยิ้มอบอุ่นประคองแก้มเนียนแดงปลั่งไว้ในอุ้มมือแล้วถามย้ำระคนร้องขอ

“บอกเราสักคำสิว่าเจ้าเป็นห่วงเราแล้วเราจะรักษาชีวิตไว้เพื่อเจ้า”

“อย่าทำเพื่อน้ำหนาวเลยค่ะ เจ้าชายรักษาชีวิตที่มีค่าไว้เพื่อราษฎรปองผองอัลนูรีนที่จงรักภักดีต่อเจ้าชายเถอะค่ะ”

เจ้าชายซารีฟร์ถึงกับหน้าตึงตีหน้าถมึงทึงโทสะลุกพล่านขึ้นมาฉับพลันมือใหญ่ที่กอบกุมด้วยความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นผลักไสเต็มแรงจนร่างบางผงะไปปะทะกับพนักรถ

“มันยากนักหรือไงน้ำหนาวกับการที่เจ้าจะเผยใจออกมา มันลำบากนักหรือถ้าหากเจ้าจะเอ่ยบอกว่าเป็นห่วงเราสักคำ”

ประตูรถถูกกระแทกปิดดังโครม! แทบจะหลุดออกมาทั้งบาน นาราภัทรมองตามเจ้าชายหนุ่มที่กระแทกเท้าออกจากรถเดินไปสงบสติอารมณ์อยู่หน้าร้านด้วยสายตาเจ็บปวด

“ไม่ใช่การยากที่จะเอ่ยออกมา...แต่เป็นความทรมานแสนสาหัสที่น้ำหนาวต้องรักษาบาดแผลในใจที่เจ้าชายเป็นผู้ลงมีด”

เจ้าชายองค์รองแห่งอัลนูรีนเดินเสยผมไปมาอย่างหงุดหงิดพยายามระงับอารมณ์โกรธที่เดือดพล่านดุจดังพายุทะเลทรายให้สงบนิ่งเหมือนดังละอองเม็ดทรายหลังต้องพายุร้าย เขามองเข้าไปในรถสปอร์ตก่อนจะถอนหายใจยาวแววตาทอแสงอ่อนลงเมื่อเห็นแก้วตาดวงใจนั่งก้มหน้านิ่ง

“นอกจากร่ายมนต์ให้เราหลงใหลแล้วเจ้าช่างถนัดทำให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก”

เท้าใหญ่แข็งแกร่งในรองเท้าหนังราคาแพงเดินกลับไปที่รถจากนั้นก็เปิดประตูออกกว้างก้มหน้าลงกดประทับจุมพิตหนักๆ บนพวงแก้มหอมจรุงใจแล้วเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ

“เราขอโทษ...ลงมาจากรถเถอะ”

นาราภัทรเงยหน้าขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มหวานพิมพ์ใจ แค่เพียงได้ยินคำว่าขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งก็สามารถละลายความเศร้าเจ็บร้าวได้เกินครึ่ง

“เจ้าชายจะซื้อของในร้านนี้หรือคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามขณะก้าวลงจากรถ ขอพักความบาดหมางพักความปวดร้าวไว้ชั่วขณะตอนนี้ขอคิดถึงแค่เพียงปัจจุบันที่มีเจ้าชายซารีฟร์อยู่ในดวงใจคอยเดินเคียงคู่

“ตอนแรกตั้งใจจะไปที่ไชน่าทาวน์ แต่คิดๆ ไปแล้วมาที่นี่ดีกว่ามีอาหารไทยทุกอย่างตามที่ต้องการ”

“แต่ว่าที่นี่แพงกว่าไชน่าทาวน์มากนะคะ”

อาหารสดแช่แข็งที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลหลายหมื่นไมล์ถูกนำมาขึ้นห้างฯ ที่ชื่อติดอันดับในบอสตันย่อมถูกปรับราคาให้แพงหูฉี่กว่าสินค้าที่ขายในย่านคนจีน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พายุรักแห่งเม็ดทราย