เห็นได้ชัดว่านวิยาคิดไม่ถึงว่าพงศกรจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ ตัวสั่นด้วยความโมโห “พงศกร คุณไม่กลัวฉันจะบอกวารุณี เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของอารัณ ว่าคุณเป็นคนวางแผนหรอกอย่างนั้นหรือ?”
“แล้วยังมีอีก เพื่อไม่ให้เรื่องถูกเปิดเผย คุณยังลบความทรงจำของอารัณไปด้วย อีกทั้งแม้แต่อุบัติเหตุทางรถยนต์ของตัวคุณเอง ก็เป็นการวางแผนของคุณเช่นกัน และยังรวมไปถึงเรื่องไฟไหม้ที่โกดังของวารุณีคุณก็เป็นคุณทำด้วยเหมือนกัน”
ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว พงศกรไม่เพียงแต่ไม่มีความลุกลี้ลุกลนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับยิ้มด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปบอกสิ คุณเชื่อหรือเปล่าว่าก่อนที่คุณจะไปพูด ผมจะจัดการคุณไปก่อนแล้ว คุณต้องรู้นะ สำหรับหมอคนหนึ่งแล้ว การสร้างตัวอย่างร่างกายของคนๆนึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คุณรู้สึกว่าถึงตอนนั้นแล้วใครจะรู้ว่าตัวอย่างนั่นคือคุณ?”
“คุณ.....” นวิยารู้สึกตกใจ
โรคจิต ผู้ชายคนนี้โรคจิตจริงๆ
เธอยอมรับว่าตัวเองโหดร้ายแล้ว แต่ก็ไม่เคยเป็นเหมือนพงศกรมาก่อน หลังจากที่ทำให้คนตายแล้ว ยังจะเอาศพมาเสริมแต่งขึ้นมาอีก
อย่างมากที่สุดเธอก็ฆ่าให้ตายเท่านั้น
ดังนั้นเทียบกับพงศกรแล้ว เธอยังแตกต่างอยู่บ้าง
ฟังออกถึงความกลัวของนวิยา พงศกรส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ “เพราะฉะนั้น คุณอย่ามาขู่ผมจะดีที่สุดนะ ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ได้พอที่จะให้ผมเล่นได้หรอกนะ”
นวิยากัดฟัน “ได้ ครั้งนี้ถือว่าฉันแพ้ แต่พงศกร คุณรอก่อนก็แล้วกัน”
พงศกรวางสายไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
รออย่างนั้นหรือ?
ได้ เขาก็จะรอดูว่าพวกเขาสองคน ใครจะตกอยู่ในจุดจบที่น่าเวทนากว่ากัน
พงศกรเอาโทรศัพท์มือถือใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมยาวสีขาว แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปในลิฟต์
เขามาที่นี่ ก็เพราะได้รับการเชิญมาให้ทำการผ่าตัดคนไข้คนหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้
จะสายไม่ได้
วารุณีกับนัทธีไม่รู้ว่าหลังจากที่ตัวเองไปแล้ว พงศกรยังคุยโทรศัพท์กับนวิยาอีกด้วย
ทั้งสองคนกลับมายังห้องพักผู้ป่วย ได้ยินเสียงหัวเราะของปาจรีย์กับเด็กทั้งสองคน อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้นมา
“กำลังคุยอะไรกันอยู่จ๊ะ?” วารุณีวางแบบฟอร์มขั้นตอนการออกจากโรงพยาบาล ยิ้มแล้วพลางเอ่ยถามขึ้น
ปาจรีย์ตอบ “เล่าเรื่องตลกให้เด็กๆสองคนฟังน่ะ”
วารุณีพยักหน้าลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอเล่ากันต่อเลย”
“ไม่แล้วล่ะ ได้เวลาแล้ว ฉันเองก็ควรจะไปแล้ว วันนี้รับปากพ่อกับแม่ไว้ว่าจะไปทานข้าวด้วย” ปาจรีย์ลุกขึ้นยืนจากเตียงผู้ป่วย
“แม่บุญธรรมบ๊ายบายค่ะ” เด็กสองคนโบกมือลาให้เธออย่างน่าเอ็นดู
ปาจรีย์ลูบใบหน้าที่น่าเอ็นดูของเด็กสองคนเป็นพิเศษ “นึกถึงว่าต่อไปจะไม่ได้เจอพวกเราสองคนเป็นเวลานานๆแล้ว แม่บุญธรรมทำใจไม่ได้จริงๆ”
วารุณียิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “ถ้าคิดถึงพวกเขา มีเวลาก็ไปหาพวกเราที่ต่างประเทศได้นี่ ให้นัทธีพาเธอไปด้วย”
ปาจรีย์มองไปยังนัทธีทันที
นัทธียืนอยู่ทางด้านหลังของวารุณี ด้วยใบหน้าเย็นชากับท่าทางที่เย่อหยิ่ง
ปาจรีย์กลัวจนตัวสั่น “ช่างเถอะ ฉันมีเวลาฉันจะไปหาเธอเองแล้วกัน”
เธอไม่อยากไปกับประธานนัทธี
ครั้งที่แล้วเธอถอนผมประธานนัทธีไปแล้ว จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่ประธานนัทธีมองเธอก็มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก ถ้าหากเธอไปกับประธานนัทธีเพียงลำพัง ยังรู้สึกกังวลว่าเขาจะแก้แค้นเธอด้วย
วารุณีเองก็พอจะเดาได้ถึงสาเหตุที่ปาจรีย์ปฏิเสธ จึงหัวเราะออกมาพลางส่ายหน้า
แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอะไรขึ้นมา รอยยิ้มก็ชะงักลง “ใช่สิปาจรีย์ เมื่อกี้ตอนที่ฉันไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ไอริณ เจอพงศกรด้วยนะ”
ปาจรีย์ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกอึ้งไป จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลงมา “เขาไม่ได้อยู่อีกโรงพยาบาลนึงเหรอ? ทำไมมาที่นี่ล่ะ?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เธอ......”
“ฉันไม่เป็นไร” ปาจรีย์โบกมือแล้วยิ้ม “ความจริงแล้วเธอไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉันตั้งแต่ตอนแรกเลย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าฉันบอกแล้วหรือ ว่าฉันปล่อยวางจากพงศกรแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา ฉันไม่ได้สงสัยเลย เอาล่ะวารุณี ฉันไปก่อนนะ”
พูดจบแล้วเธอก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินออกไป
เขาหยิบออกมาดู เป็นมารุตโทรเข้ามา
นัทธีกดรับสาย : “มีเรื่องอะไร?”
“ประธานครับ ผมอยู่ในออฟฟิศท่านครับ จับตัวขโมยที่นิรุตติ์ส่งมาได้แล้ว” มารุตรายงานด้วยความโมโห
สีหน้าของนัทธีหนักหน่วง บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “อะไร? ขโมย?”
วารุณีมองเขาอย่างประหลาดใจ “ขโมยอะไรคะ?”
นัทธีไม่ได้ตอบคำถามเธอเป็นการชั่วคราว เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต “มันขโมยอะไร?”
“มันยังไม่ได้ขโมยอะไรเลยครับ ควรจะพูดได้ว่า มันยังไม่ได้ขโมยสิ่งที่ต้องการไปมากกว่า แต่จากที่ผมสอบสวนแล้ว คนๆนั้นบอกว่ามันเป็นคนที่นิรุตติ์ส่งมาให้ขโมยหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นฉบับหนึ่ง ผมเดาว่าอาจจะเป็นหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทน่ะครับ” มารุตตอบกลับ
เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่ขงเบ้งถูกจับ เป็นไปไม่ได้ที่นิรุตติ์จะไม่รู้
นิรุตติ์รู้ดีว่าประธานหาพินัยกรรมเจอแล้ว และรู้ว่าหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทอยู่ในมือของประธานแล้ว แต่นิรุตติ์ไม่กล้าปรากฏตัว พอปรากฏตัวออกมาก็จะถูกประธานจับตัวได้
ดังนั้นนิรุตติ์จึงทำได้เพียงใช้วิธีแบบนี้ เพื่อเอาหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นมาให้ได้
“เป็นแบบนี้เอง” มุมปากของนัทธีเป็นส่วนโค้งที่ดูเย็นชา
เขาก็ว่าอยู่แล้ว พินัยกรรมหาเจอจนผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว เขายังส่งข่าวคราวออกไปโดยเฉพาะ ก็อยากจะดูว่านิรุตติ์จะลงมือหรือเปล่า
แต่หลายวันขนาดนี้คลื่นลมสงบเงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิรุตติ์ไม่ได้ลงมือ เขายังคิดว่านิรุตติ์จะยอมทิ้งเรื่องผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะเผยพิรุธออกมา
นิรุตติ์ไม่ได้จะยอมทิ้งเรื่องอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทเลย แต่ในทางตรงกันข้าม นิรุตติ์นั้นสนใจเรื่องของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทมาตลอดเลยนั่นเอง
สรุปแล้วอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทมีความลับอะไรกันแน่ ทำไมแม่จะต้องเอาอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทให้กับนิรุตติ์ แล้วทำไมนิรุตติ์ถึงได้ยึดมั่นในอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทขนาดนั้น ยึดมั่นขนาดที่ว่าแม้แต่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็ยอมถอยลงมาเป็นอันดับสองแล้ว
“นายรอฉันอยู่ที่ออฟฟิศแล้วกัน ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” นัทธีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มารุตตอบรับออกมา “ครับ”
เสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์แล้ว นัทธีจึงมองไปยังวารุณี “นิรุตติ์ส่งคนไปขโมยสิทธิผู้ถือหุ้นของวันเฮิร์ทที่ออฟฟิศผม มารุตจับตัวคนได้แล้ว ผมต้องไปก่อนนะครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...