รอก่อนแล้วกัน แค้นนี้เธอจะต้องแก้แค้นแน่!
นวิยาโมโหเตะแท็งก์น้ำที่อยู่ข้างๆไปหนึ่งที หลังจากนั้นก็บีบจมูกแล้วนั่งยองๆลง หลีกเลี่ยงกับการที่จะยืนทรงตัวไม่ได้หากเรือเริ่มออกแล่น
ในขณะเดียวกัน เธอเองก็จะต้องซ่อนตัวเองตลอดเวลาอีกด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงให้ตำรวจจับได้
เพียงแค่ถึงทะเลหลวง ถึงทะเลหลวงแล้วเธอก็จะเป็นอิสระ
นวิยาออกมาจากจังหวัดจันทร์ นัทธีกับวารุณีนั้นยังไม่รู้เป็นการชั่วคราว
เนื่องจากว่าพวกเขาก็ไม่มีใครคาดคิด ว่านวิยาจะมาอยู่ใต้ดาดฟ้าเรือประมงที่ลักลอบเข้าเมืองแบบนี้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงกำลังคนที่นัทธีจัดเอาไว้ค้นหาที่ท่าเรือ
หลังจากนั้นเจ็ดถึงแปดชั่วโมง ครอบครัวทั้งสี่คนของวารุณีก็ถึงที่หมายแล้ว
เชอรีนขับรถมารับ
เห็นว่านัทธีตามมาด้วยกัน เธอก็รู้สึกอึ้งไปทันที “ประธานนัทธี มาได้อย่างไรคะ?”
“มาไม่ได้หรือ?” นัทธีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
เชอรีนรีบโบกมือ “ไม่ค่ะๆๆ ฉันไม่ได้หมายความแบบนี้ เพียงแต่คุณมาไม่บอกก่อนล่วงหน้าก่อน ฉันก็เลยขับรถที่มีสี่ที่นั่งมา นั่งไม่หมดหรอกค่ะ”
“ง่ายมาก คุณนั่งรถกลับไป กุญแจรถ” นัทธียื่นมือออกมา
เชอรีนหน้ามุ่ย แล้วส่งกุญแจมาให้
นัทธีเข็นเด็กทั้งสองคนที่กำลังหลับอยู่ แล้วโอบเอวของวารุณี เดินไปทางลิฟต์ของที่จอดรถชั้นใต้ดิน
ตอนที่เดินผ่านเชอรีนนั้น วารุณียิ้มให้กับเชอรีนอย่างขอโทษ “ขอโทษนะเชอรีน ฉันลืมบอกเธอเลย เธอรออยู่ที่สนามบินซักพักนึงนะ ฉันจะโทรบอกคนรับใช้เดี๋ยวนี้เลยให้ขับรถมารับเธอ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันนั่งรถกลับเองก็ได้ อีกอย่างประธานนัทธีมาด้วย ฉันไม่อยากรบกวนครอบครัวพวกเธอ ฉันออกไปเที่ยวเล่น จะกลับค่ำๆหน่อยนะ” เชอรีนยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
วารุณีพยักหน้าลง “เอาอย่างนั้นก็ได้ เธอเที่ยวให้สนุกนะ กลับมาฉันให้นัทธีเบิกเงินคืนให้”
ดวงตาของเชอรีนเป็นประกาย “โอเคค่ะ นายหญิง ขอบคุณนะคะนายหญิง ขอบคุณนะคะเจ้านาย”
นัทธีส่งเสียงออกมา แล้วไม่ได้เอ่ยพูด
วารุณีกลับรู้สึกขำกับคำว่านายหญิงนี้
อย่าพูดเลย ได้ยินแล้วดูมีพลังเชียว
“ไปเถอะครับ” มือใหญ่ที่โอบอยู่ที่เอวของวารุณีเลื่อนมาบนใบหน้าของเธอ ให้เธอไม่ต้องมองเชอรีนอีก
วารุณีพูดไม่ออก “ไปค่ะๆ”
ครอบครัวทั้งสามคนเดินไปทางด้านหน้า
เนื่องจากความสัมพันธ์ทางเรื่องความต่างของเวลา นัทธีจึงไม่ได้ค้างคืนที่นี่ ตอนที่ฟ้ามืด ก็ขึ้นไปเหยียบบนเครื่องบินเพื่อกลับประเทศอีกครั้ง
เป็นเพราะตอนกลับมาถึงในประเทศแล้ว ก็เป็นเวลากลางคืนพอดี เขาก็ไม่ต้องปรับเรื่องความต่างของเวลาอีก
หลังจากที่เด็กๆทั้งสองคนตื่นขึ้นมาแล้ว รู้ว่าพ่อไปแล้วนั้น ก็รู้สึกหงอยเหงาเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่วารุณีปลอบใจพวกเขาแล้วว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันพ่อก็จะมาอีก พวกเขาถึงได้ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
และทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือที่วารุณีวางเอาไว้ตรงหัวเตียงก็ดังขึ้น
เธอเช็ดผมแล้วเดินไป หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นศรัณย์โทรมา แล้วจึงยิ้มขึ้นมาทันที “ศรัณย์”
“พี่ พี่ยังอยู่ที่ประเทศอเมริกาอยู่หรือเปล่าครับ?” เสียงที่อบอุ่นของศรัณย์เอ่ยถามขึ้นมาทางปลายสาย
วารุณีพยักหน้าลง “อยู่สิ ทำไมหรือ?”
“อาจารย์ของผมจะจัดนิทรรศการศิลปะการเดินทาง แล้วสถานีต่อไปก็คือประเทศอเมริกา พอดีเลยผมจะได้เจอพี่ด้วย” ศรัณย์เอ่ยพูดขึ้น
วารุณีดีใจมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ไอริณกับอารัณรู้จะต้องดีใจมากแน่ๆ ถึงเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่ไปรับนายเอง”
“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายสี่โมงเย็นครับ” ศรันย์ตอบ
วารุณีจำเวลานี้เอาไว้ “พี่รู้แล้วล่ะ”
ช่วงบ่ายสี่โมงเย็น การแข่งขันของเธอเสร็จแล้วเหมือนกัน มีเวลาไปรับพอดี
หลังจากนั้น พี่น้องสองคนก็พูดถึงการติดต่ออื่นๆ แล้วถึงได้สิ้นสุดการสนทนาลง
หลังจากนั้นวารุณีจึงไปที่ห้องของเด็กทั้งสองคน แล้วบอกข่าวดีเรื่องที่คุณน้าของพวกเขาจะมากับเด็กทั้งสองคน
และเป็นอย่างที่คิดไว้ เด็กทั้งสองคนดีใจมาก เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้เจอคุณน้าของพวกเขามานานมาแล้ว
ตอนที่อยู่ในประเทศ เขาก็ไม่ได้นอน
ตอนกลางคืนระหว่างทางที่มา เพราะต้องดูแลลูกทั้งสองคน เขาก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน นี่ก็เท่ากับว่าไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนเลย
ผลปรากฏว่าหลังจากที่เขากลับไป ก็ไม่ได้นอนอีก นั่นก็หมายความว่า เวลาเกือบสามสิบหกชั่วโมงนี้เขาแทบไม่ได้หลับตาลงเลย
“เปล่าครับ บนเครื่องบินผมจัดการเรื่องงานน่ะครับ” นัทธีว่า
วารุณีเม้มปาก “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกตอนนั้นก็ควรจะเด็ดเดี่ยวเสียหน่อย ไม่ให้คุณต้องมาส่งพวกฉัน แล้วก็ไม่ต้องมาจัดการเรื่องงานบนเครื่องบินด้วย”
นัทธีฟังออกว่าวารุณีนั้นกำลังตำหนิตัวเองอยู่ จึงยิ้มออกมาเล็กน้อย “เอาล่ะครับ ไม่โทษคุณหรอก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ก็คือว่าเมื่อกี้ฉันได้รับข่าวมาว่าพิชญาตั้งครรภ์แล้ว” วารุณีตอบกลับ
นัทธีขมวดคิ้วขึ้น “ของใครครับ?”
“ไม่รู้ค่ะ ทางโรงพยาบาลจิตเวชถามว่าจะให้จัดการกับเธออย่างไร จะให้เธอออกมาเลี้ยงดูครรภ์ หรือว่าจะอยู่ที่นั่นต่อ ฉันคนเดียวตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยอยากจะถามความคิดเห็นของคุณด้วย” วารุณีกล่าว
นัทธีหรี่ตาลง “โรงพยาบาลจิตเวช ของเธอเป็นห้องแยกอยู่คนเดียว ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดูแลครรภ์”
วารุณีเข้าใจขึ้นมาทันที “เพราะฉะนั้นคุณหมายความว่า ไม่ปล่อยให้เธอออกมา”
“ใช่ครับ ไม่จำเป็น ก็ให้เธออยู่ดูแลครรภ์ในนั้น ส่วนเด็กในท้อง ถ้าหากเธอต้องการจะคลอด ก็ให้เธอดูแลครรภ์ไป ถ้าหากจะไม่คลอด ก็ให้เธอผ่าตัดเอาเด็กออก” นัทธีเอ่ยขึ้น
เด็กไม่ได้มีความผิด เขาจะไม่ลงมือจัดการกับเด็กคนหนึ่งอยู่แล้ว
แต่แม่ของเด็กจะเอาลูกไว้หรือเปล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา
“ฉันรู้แล้วค่ะ” วารุณีพยักหน้า หลังจากนั้นใบหน้าเล็กๆก็หนักหน่วงลง เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้พูดแทรกขึ้นมา : “คุณยังจัดการเรื่องงานอยู่หรือเปล่าคะ? รีบหยุดทำแล้วไปนอนเลย ได้ยินหรือเปล่า ฉันไม่อยากจะได้ยินข่าวว่าวันไหนคุณจะมาเสียชีวิตกะทันหันนะคะ ถ้าหากคุณตายไปจริงๆ ฉันจะพาลูกทั้งสองคนไปแต่งงานใหม่ทันทีเลยนะคะ จะให้ลูกสองคนเรียกคนอื่นว่าพ่อด้วยคุณเชื่อไหม!”
ใบหน้าหล่อเหลาของนัทธีดูมืดมน
แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นเพราะเธอเป็นห่วงเขา กลัวว่าเขาจะไม่ยอมฟัง ถึงได้พูดข่มขู่เขาแบบนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ดี แล้วส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา : “คุณอย่าแม้แต่จะคิดเลย!”
แต่งงานใหม่อย่างนั้นหรือ?
เรียนคนอื่นว่าพ่อ?
ไม่มีทาง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...