ศรัณย์ชะงักไปแล้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ยอมรับ
เมื่อทนายพิศาลเห็นสองพี่น้องแบ่งมรดกกันเรียบร้อยแล้วก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงกับสมุดบันทึกออกมา “คุณหญิงวารุณีกับคุณชายศรัณย์ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับว่าจะแบ่งกันแบบนี้”
ศรัณย์เตรียมจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง
เมื่อวารุณีเห็นจึงชิงพูดออกมาก่อน “ตัดสินใจดีแล้วค่ะ”
“ดีครับ เครื่องบันทึกเสียงนี้เป็นหลักฐาน ผมจะแก้ไขพินัยกรรมให้สอดคล้องตามนี้ เมื่อพินัยกรรมฉบับใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองท่านจะไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว ขอทั้งสองท่านตัดสินใจให้แน่นอนก่อนครับ” ทนายพิศาลกล่าวย้ำอีกครั้ง
วารุณีพยักหน้า “ตัดสินใจดีแล้วค่ะ”
“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการพินัยกรรมฉบับใหม่ให้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้ทั้งสองท่านลงนามอีกครั้ง อย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว ขอตัวนะครับ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็หยิบกองเอกสารทั้งหมดแล้วยืนขึ้น
ตอนที่เขายืนขึ้นแล้ว เอกสารแผ่นบนสุดก็ปลิวตกลงมาจากมือของเขามาอยู่บนพื้นตรงหน้าศรัณย์พอดี
ศรัณย์เก็บขึ้นมาแล้วพบว่าแผ่นหน้าเอกสารเขียนชื่อขยานีเอาไว้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเปิดดู “เอ๊ะ นี่คือมรดกที่ให้ขยานีเหรอครับ คุณสุภัทรแบ่งมรดกให้ขยานีด้วยงั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “ให้ขยานีด้วยเหรอ”
ขยานีโดนตัดสินโทษประหาร มอบมรดกให้เธอจะมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็ต้องตกเป็นของถวิตและจะกลายเป็นของปวิชไปฟรีๆ อีก
นัทธีคิดว่าสุภัทรไม่ใช่คนเลอะเลือน ขยานีทำกับเขาขนาดนั้น เขายังจะให้มรดกกับขยานีอีกหรือ
“พินัยกรรมฉบับนี้เป็นโมฆะครับ” ทนายพิศาลกล่าวอธิบายออกมาในตอนนั้น
วารุณีเงยหน้ามองเขา “โมฆะ?”
ทนายพิศาลพยักหน้า “ใช่ครับ พินัยกรรมฉบับนี้เป็นฉบับที่นายท่านสุภัทรเขียนเอาไว้ก่อนเข้าโรงพยาบาลครับ”
“เข้าใจแล้ว แสดงว่าฉบับนี้ทำขึ้นตอนที่เขายังไม่รู้ว่าขยานีทำเรื่องราวพวกนั้น” ศรัณย์เบะปากเล็กน้อย “แสดงว่าก่อนที่เขาจะตาย ถ้าเขาไม่รู้ว่าขยานีทำเรื่องพวกนั้น พินัยกรรมฉบับนี้ก็จะไม่เป็นโมฆะงั้นสิ”
ทนายพิศาลพยักหน้าอย่างลำบากใจ “ถูกต้องครับ”
ศรัณย์พ่นลมหายใจ “ให้ขยานีเจ็ดส่วน ให้พวกเราสองพี่น้องสามส่วน ดูแล้วยังไงในใจของเขาขยานีก็สำคัญกว่าพวกเราสองพี่น้อง ถ้าสุดท้ายเขาไม่รู้ว่าขยานีทำผิดต่อเขา เขาคงตัดสินใจไม่แบ่งให้ขยานีแบบนี้หรอก เฮ้อ เจ้าเล่ห์จริงๆ”
ทนายพิศาลทำเป็นว่าไม่ได้ยินและไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ที่จริงแล้วในใจเขาเองก็คิดเช่นกันว่านายท่านสุภัทรเป็นคนเจ้าเล่ห์
แต่นายท่านสุภัทรเป็นผู้ว่าจ้างเขา ต่อให้เสียชีวิตไปแล้วก็ตาม เขาก็ไม่กล้าต่อว่านายท่านสุภัทร
เพราะอย่างไรก็ต้องเคารพคนตาย
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นโมฆะไปแล้ว ก็คิดซะว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง แต่พินัยกรรมที่เป็นโมฆะอันนี้ฉันขอได้ไหมคะ”วารุณีหยิบพินัยกรรมที่เป็นโมฆะขึ้นมา
ทนายพิศาลพยักหน้า “ได้สิครับ”
“ขอบคุณค่ะ” วารุณียิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงให้ศรัณย์ออกไปส่งทนายพิศาล
ในห้องรับแขกตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่วารุณีกับนัทธี
นัทธีมองเธอ “คุณจะเอามันไปทำอะไร”
“มันจะมีประโยชน์” วารุณียิ้มอย่างมีเลศนัย
เมื่อนัทธีเห็นว่าเธอไม่อยากพูดจึงไม่ถามต่อ
ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาที่ต้องรู้ เขาก็จะรู้เอง ไม่จำเป็นต้องเค้นถามให้ได้ตอนนี้
“จริงสิ วันที่ขยานีจะต้องรับโทษคือวันไหนเหรอคะ” วารุณีถาม
นัทธีคิดสักพักก่อนตอบ “อีกสามวัน”
วารุณีพยักหน้าเป็นเชิงว่าจดจำได้
จากนั้นราวกับว่าเธอคิดบางอย่างออก จึงมองไปทางเขา “การตัดสินขั้นสุดท้ายของขงเบ้งใกล้จะถึงแล้วใช่ไหมคะ”
เมื่อกล่าวถึงขงเบ้ง รอบตัวของนัทธีคล้ายมีรังสีอำมหิตบางอย่างแผ่ออกมา
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์”
“ถึงตอนนั้นคุณจะไปด้วยไหมคะ”
นัทธีตอบว่า “แน่นอน ผมต้องไปเห็นจุดจบของนัทธีด้วยตาของตัวเอง”
“อย่างนั้นฉันไปด้วยค่ะ” วารุณีจับมือของเขาเอาไว้
การตัดสินคดีของขยานี เขาเองก็อยู่เคียงข้างเธอตลอดเช่นกัน
แน่นอนว่าเธอก็ต้องทำเช่นเดียวกับเขา
นัทธีโอบวารุณีเอาไว้แล้วจูบเรือนผมของเธอ “โอเค”
“หม่ามี๊ ปะป๊า แอบจูบกันอีกแล้วนะ” ทันใดนั้นเสียงอ่อนเยาว์ก้องกังวานของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านบนขัดจังหวะสวีทของสองสามีภรรยา
เด็กทั้งสองกอดเอกสารเอาไว้ในอกแล้วพยักหน้างกๆ เห็นได้ชัดว่าการได้บ้านมาฟรีๆ ทำให้พวกเขาดีใจมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้วสองวัน
วันนี้วารุณีเข้าออฟฟิศมาหารือเรื่องเสื้อผ้าคอลเลคชันใหม่กับปาจรีย์ ในตอนนั้นเองเธอก็ได้รับสายจากคุกโดยแจ้งว่าขยานีต้องการพบเธอ
หลังจากได้รับโทรศัพท์ วารุณีไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
เธอคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าขยานีจะต้องขอพบเธอ และก็เป็นไปอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้
“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปตอนบ่าย” วารุณีกล่าวกับปลายสาย
จากนั้นเมื่อจบบทสนทนา เธอก็วางโทรศัพท์ลง
ปาจรีย์เข้ามาใกล้เธอ “ขยานีขอพบเธอเหรอ”
“อืม” วารุณีพยักหน้า
“ทำไมเธอต้องขอพบด้วย” ปาจรีย์สงสัย
วารุณีส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน” ปาจรีย์กล่าว
“โอเค” วารุณีพยักหน้าไม่ได้กล่าวปฏิเสธ
เมื่อเวลาบ่ายมาถึง คนทั้งสองก็ขับรถไปยังเรือนจำ
เมื่อลงชื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปยังห้องรับรอง
ตำรวจเรือนจำหญิงนำตัวขยานีออกมา
สภาพของขยานีตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน
เมื่อปาจรีย์เห็นดังนั้นก็ตกใจ
เมื่อก่อนขยานีเป็นคนดูแลตัวเองอย่างดี หุ่นของเธออวบอิ่ม เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวสวยคนหนึ่ง
แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ผมสั้น ผิวเหลือง เบ้าตาลึก โหนกแก้มสูง ร่างกายซูบผอม มองดูแล้วคล้ายผู้หญิงวัยหก เจ็ดสิบปี ไม่มีความใกล้เคียงขยานีที่ตนเคยเห็นมาก่อน สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับยายแก่ๆ คนหนึ่ง
“วารุณี ทำไมหล่อนกลายเป็นแบบนั้นได้ล่ะ” ปาจรีย์กลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วหันมากระซิบถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...