เมื่อนัทธีได้ยิน มือที่กำลังเช็ดของอยู่ก็ชะงักทันที “เป็นอะไร?”
“น่าแปลก ไม่มีสัญญาณ!” วารุณีเขย่ามือถือไปมา “ประธานนัทธีของคุณมีสัญญาณไหมคะ ?”
นัทธีพับผ้าเช็ดหน้า เก็บเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง “ไม่มี”
“ของคุณก็ไม่มี?”วารุณีประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”
นัทธีไม่ได้พูดตอบ หลุบตาลงต่ำไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
วารุณีวางมือถือลง “ประธานนัทธี ฉันจะออกไปข้างนอกดูซิว่าจะมีสัญญาณไหม”
นัทธีไม่ได้ร้องห้าม
วารุณีจึงเดินไปที่ประตูโรงงาน
เมื่อเธอไปถึงที่ประตู เดิมทีจากประตูที่เปิดอ้าอยู่ ไม่รู้ว่ามันถูกปิดไปตั้งแต่เมื่อไร เธอตกใจ จู่ๆในใจก็คาดเดาไปต่างๆนานา
ประตู คงไม่ได้ถูกล็อกไปแล้วใช่ไหม ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีก็เอื้อมมือไปที่ลูกบิด พยายามจะเปิดประตูออก แต่ลูกบิดประตูกลับไม่ได้ขยับอะไร
จากที่เห็น ประตูถูกล็อกไปแล้วจริงๆ
นัทธีเดินเข้ามาหา แค่มองก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดลง “ ประตูเปิดไม่ออกเหรอ ?”
วารุณีพยักหน้า “ถูกคนล็อกจากด้านนอก”
“จนได้นะ!”นัทธีไม่ได้แปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
วารุณีที่ได้ยินคำพูดของเขา ปล่อยมือออกจากลูกบิดแล้วหันมองมาที่เขา “คุณรู้ว่าประตูถูกล็อกเหรอคะประธานนัทธี ?”
นัทธีดันไปที่บานประตู “ตอนที่ปาจรีย์อยู่ มือถือยังมีสัญญาณ พอเธอไปแล้วโทรศัพท์มือถือของเราก็ไม่มีสัญญาณ มันชี้ชัดว่า มีคนไม่ต้องการให้เราติดต่อกับคนภายนอก หากผมเดาไม่ผิด ด้านนอกโรงงานมีคนติดตั้งเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์”
“เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์!”วารุณีย่นจมูก
นัทธีล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วพูดต่อว่า“อุปกรณ์การตัดสัญญาณทั่วไปในท้องตลาด สามารถใช้ได้เพียงเฉพาะในตัวอาคาร หรือพื้นที่ของบ้านหลังหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถตัดสัญญาณในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างได้……”
“แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงกันดีคะ ออกไปก็ไม่ได้ ติดต่อคนภายนอกก็ไม่ได้ ”วารุณีขยุ้มผมตัวเอง รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
นัทธีหันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน“ คุณร้อนใจไปก็ไม่ช่วยอะไร ไม่สู้เป็นห่วงรอดูต่อไปว่าเราจะเจอกับอะไรอีกจะดีกว่า”
เมื่อวารุณีได้ยินคำนี้ ในใจก็เต้นโครมคราม “ประธานนัทธี คุณหมายความว่า เราอาจจะตกอยู่ในอันตราย?”
“มีความเป็นไปได้สูง ไม่อย่างนั้นจะขังพวกเราไว้ที่นี่ทำไม ?”นัทธีพูดน้ำเสียงทุ้มต่ำ
วารุณีเดินตามหลังเขากลับมายังจุดเดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“ประธานนัทธี ขอโทษนะคะ ทำคุณลำบากไปด้วยเลย”
“ก็ไม่ได้มีอะไรนี่ เพราะผมไม่กลับไปเอง” นัทธีแกะลังกระดาษออกแล้วปูลงกับพื้น ก้มตัวนั่งลง แล้วตบไปยังที่ว่างข้างๆ “เอาแต่ยืนไม่เมื่อยหรือไง ? นั่งลงเถอะ! ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน เผชิญหน้ากับมันไปด้วยกันก็แล้วกัน ”
วารุณียิ้มเจื่อนๆแล้วนั่งลงยังที่ว่างด้านข้าง
หลังจากที่นั่งลงแล้ว ก็ได้ยินนัทธีพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นฝีมือของคุณขยานี”
“ทำไมคุณมั่นใจจัง ?”วารุณีนั่งกอดเข่าพลางถามออกไป
นัทธีส่งเสียงหึออกมา“หากผมถูกโกงเงินไปสามล้าน ผมก็คงจะไม่พอใจ ต้องคิดหาวิธีเอาคืนมาให้ได้ หรือต่อให้เอาคืนมาไม่ได้ ก็ไม่ยอมเสียมันไปฟรีๆให้กับศัตรูแน่นอน เมื่อคืนแผนโจรปล้นล้มเหลว เธอก็ต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อที่จะจัดการกับคุณอย่างแน่นอน”
“แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเครื่องจักรพวกนี้เป็นของฉัน ?”วารุณีกัดฟันแน่น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ปาจรีย์เป็นคนออกหน้าจัดการเรื่องเครื่องจักรพวกนี้ทุกอย่าง
“ยากตรงไหน?”นัทธีเหล่มองหญิงสาว“ แค่เช็กที่มาที่ไปของเงินสามล้าน ทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว ”
“นี่มัน……”วารุณีตีไปที่หน้าผากตัวเองอย่างอารมณ์เสีย“ ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง”
“พอแล้ว หงุดหงิดไปก็ไม่ช่วยอะไร คุณคิดแผนเอาไว้เถอะ ว่าถ้าออกไปได้แล้วจะโต้กลับเขายังไง” นัทธีขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดไปอย่างเหนื่อยหน่าย
วารุณียกยิ้ม “เรื่องนี้ง่ายมาก ”
“คุณมีวิธีแล้ว ?” นัทธีเลิกคิ้วขึ้น
ดวงตาของวารุณีเป็นประกาย “แน่นอน คุณคอยดูได้เลยประธานนัทธี รอฉันออกไปจากที่นี่ได้ คุณขยานีจบเห่แน่ ”
ท่าทีที่มั่นใจของเธอ ทำให้ริมฝีปากของนัทธีกระตุก “ ดี ผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณ แต่ตอนนี้ยื่นมือออกมาก่อน ”
“ทำไมคะ ?”แม้วารุณีจะไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่ก็ยื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย
นัทธีมองดูฝ่ามือที่บีบรัดของเธอจากการทุ่มเทจนสุดตัวสีหน้าก็ดูแย่ขึ้นมาทันที
ผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดบ้างเลยหรือไง ?
วารุณีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อยากที่จะเก็บมือเข้าที่
เฮ้อ ผู้ชายเจ้าคิดเจ้าแค้น
แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะมีมุมใสซื่อไร้เดียงสาแบบนี้
วารุณีปิดปากเงียบ แล้วก็แอบหัวเราะเงียบๆอีกครั้ง แต่เป็นการหัวเราะที่ไม่มีเสียง เพราะหากเขาได้ยินอีก ก็อาจจะไม่พอใจเอาได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในขณะที่วารุณีเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา ด้านนอกอาคารโรงงานก็มีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้น จากนั้น ก็มีบางอย่างถูกโยนลงมาจากหน้าต่างบนหลังคา ตกลงกับพื้นแล้วมีเสียงกลิ้งไปมา
ทันใดนั้นวารุณีก็ตื่นเต็มตา ชี้ไปยังขวดที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วถามว่า“ประธานนัทธีนั่นอะไรคะ ?”
นัทธีไม่ตอบ ลุกขึ้นแล้วเดินไปดู เมื่อเห็นฉลากบนขวด ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย“ นี่เป็นก๊าซไนโตรเจน ปิดปากกับจมูกเอาไว้ เร็ว !”
“อะไรนะ?”รูม่านตาวารุณีหดเกร็ง รีบทำตามทันที ปิดปากกับจมูกเอาไว้อย่างแน่นหนา
เป็นไปตามที่นัทธีพูด คนที่ขังพวกเขาไว้ ต้องการทำร้ายพวกเขาจริงๆ
เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงว่า จะโยนก๊าซไนโตรเจนเข้ามา กลิ่นก๊าซนี้ไม่เพียงแต่ส่งกลิ่นเหม็น เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ ยังจะทำให้คนหายใจไม่ออกและตายได้ นี่มันถึงขั้นต้องการเอาชีวิตพวกเขาเลยเหรอ !
ดวงตาวารุณีแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธและความแค้น
นัทธีกลับมาแล้ว และปิดจมูกกับปากไว้เช่นเดียวกัน“ ที่นี่มีน้ำไหม?”
วารุณีส่ายหน้า “ไม่มี เราก็เพิ่งจะมาเช่าที่โรงงานนี้ และเพิ่งติดตั้งระบบไฟฟ้าไป ยังไม่ทันได้วางระบบประปาในอาคารเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนัทธีก็ตึงเครียดขึ้นมา
เมื่อวารุณีเห็นภาพตรงหน้า ในใจก็ยิ่งรู้สึกผิด และเสียใจมากขึ้นไปอีก
หากไม่ใช่เพราะเธอไปกรรโชกทรัพย์ของนางขยานี เธอก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
ทั้งหมดนี้ มันเป็นความผิดของเธอ
“ ประธานนัทธี ขอ……”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ระวังกลั้นหายใจเอาไว้!” นัทธีพูดเสียงต่ำขัดจังหวะเธอขึ้นมา
วารุณีพยักหน้าซ้ำๆอยู่อย่างนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอรู้แล้ว
จากนั้นไม่นาน เธอกลั้นหายใจจนถึงขีดสุด ใบหน้าแดงก่ำไปหมด เบ้าตาเปียกชื้น สมองวิงเวียน หน้าอกมีอาการแน่นขึ้นอย่างรุนแรงและอึดอัดมาก
“ประธานนัทธี ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ”วารุณีพูดหายใจหอบหนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...