พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 102

ตอนที่ 102 ของแทนใจ

หลี่โม่ไร้คำพูดทันใด ผู้ที่ตายไปแล้วได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทุกคนอย่างฉับพลัน ไม่ต้องพันแผลให้ดีก็แสดงออกถึงความน่าเกรงขาม อีกทั้งหวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้วตัวแล้ว

เซียวโธ่แอบชำเลืองมองไปทางหลี่โม่ ก่อนจะมองไปทางซือถูเย้นอีกครั้ง “พวกเจ้ามองอะไรกัน? เสี้ยหลีโม่เจ้าเป็นห่วงท่านอ๋องหรือ?”

หลี่โม่รีบเมินหน้าหนีไปทางอื่น “เขาคือคนไข้ของข้า หม่อมฉันเป็นห่วงคนไข้ของข้าแล้วจะทำไมหรือเพคะ? เตรียมอาหารเถอะ”

เซียวโธ่มองไปทางนางด้วยความตื่นตกใจ “เจ้าหน้าแดง? ทำไมเจ้าต้องหน้าแดงด้วยละ?”

ซูชิงยกอาหารขึ้นเสิร์ฟ จากนั้นก็พูดกับเซี่ยวโธ่อีกครั้งว่า : “พอได้แล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก ถามมากความไปทำไม? ทานอาหารเถอะ”

เซี่ยวโธ่แปลกใจมากทีเดียว “เจ้าเข้าใจ ? ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”

ซูชิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า: “ทานอาหาร”

หลี่โม่รีบออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่กล้ามองไปทางซือถูเย้นแต่อย่างใด เมื่อออกไปแล้ว ก็รู้สึกหงุดหงิดกับความอ่อนแอของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นคนในยุคปัจจุบัน ถูกเซี่ยวโธ่กล่าววาจาอย่างไม่เกรงใจสองสามคำ ก็ไม่มีเหตุผลเช่นนี้แล้วหรือ?

เขาพูดว่านางเป็นห่วงซือถูเย้น? ถึงจะเป็นห่วงก็เป็นปกติไม่ใช่หรือไง? เพื่อช่วยเขา นางเกือบจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเชียวนะ

เซี่ยวโธ่ถามซือถูเย้นว่า “เสี้ยหลี่โม่ผู้นี้แปลกมาก เจ้ารู้สึกไหม?”

ซือถูเย้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า : “ไม่รู้ ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำตัวแปลกอย่างยิ่งมาสองวันแล้ว”

เซี่ยวโธ่ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “ข้าแปลก? ข้าแปลกหรือ?”

“หลังจากเรื่องสงบลง เจ้าก็ไปพบกับแม่นางตระกูลเฉิน” อ๋องซื่อเจิ้งยกเท้า แล้วยืนขึ้น

เซี่ยวโธ่หน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “พักผ่อน”

ถึงแม้ว่าแม่นางตระกูลเฉินเป็นหญิงสาวที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ ต่อให้สู้จนตัวตายเขาก็ไม่มีทางไปเขาโดยเด็ดขาด หญิงชราที่อายุ 20 ปีก็ยังไม่ออกเรือน ต้องป่วยทางจิตอย่างแน่นอน

ในขณะที่ทานอาหาร หัวข้อสนทนาก็ได้เปลี่ยนเวียนมาถึงเรื่องของแม่นางตระกูลเฉินจนได้ เซี่ยวโธ่แทบจะทานไม่ลง ใบหน้าอึมครึมขึ้นมาในทันที

ในตอนที่กำลังเก็บโต๊ะเสร็จแล้ว ซือถูเย้นก็ให้ซูชิงนำไปเก็บ จากนั้นก็อยู่คุยกับหลี่โม่ต่อ

เมื่อเซี่ยวโธ่เห็นซือถูเย้นอยู่คุยกับหลี่โม่ต่อ เขาจึงได้นั่งลง จากนั้นก็มองไปทางซือถูเย้น รอเขาเอ๋ยปาก

ซือถูเย้นมองไปทางเขาอย่างช้า ๆ “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”

เซี่ยวโธ่มองไปทางหลี่โม่ ถึงแม้จะเข้าใจว่าซือถูเย้นต้องการอยู่คุยกับหลี่โม่ก็ตาม แต่จะไม่ให้เขาอยู่ร่วมคุยด้วยหรือ

เขายืนขึ้น “พะยะคะ หม่อมฉันไม่มีธุระอันใด แต่หม่อมฉันก็ยังออกไปไม่ได้ไม่ใช่หรือพะยะคะ?”

เมื่อพูดจบ ก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินออกไป เมื่อซูชิงเห็นเขาโกรธเคือง จึงได้ถามขึ้นว่า: “เป็นอะไรหรือ?”

“พวกเขามีความลับ ไม่ให้ข้าฟังด้วย” เซี่ยวโธ่พูดขึ้น

ซูชิงมองไปทางเขาด้วยความสงสาร “เจ้าต้องมีความมั่นใจที่จะไปพบกับแม่นางตระกูลเฉินจริงๆแล้ว”

เซี่ยวโธ่ชกหมัดออกไป พร้อมกับระเบิดความโกรธออกมา: “เจ้ายังจะพูดอีก?”

ภายในห้อง หลี่โม่นั่งลงพร้อมกับมองไปทางซือถูเย้น สีหน้าเงียบเหงา นางรู้ว่าคืนนี้เขาต้องไปเสี่ยงอันตราย จึงไม่มีทางรักษาจิตใจให้สงบลงได้ เพราะ อาการประชวรของเขาก็ยังไม่หายดี ทรงม้าก็ยังไม่ได้

นางไม่ค่อยคิดในแง่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ต้องกลับตำหนักอย่างบริสุทธิ์

ในตอนที่กลับไปนั้น ทุกอย่างกลับสงบลง เส้นทางที่จะกลับในวันนี้ เดินง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

แต่ว่า นางรู้ว่ายังไงก็ไม่สามารถขัดขวางได้ เพราะพวกเขาเลือกที่กลับแคว้นจิงคืนนี้ ต่อให้สถานการณ์ตึงเครียดยังไงก็ต้องเดินทาง

ใบหน้าของหลี่โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หัวแข็งดื้นรั้นนี้ก็ยังได้นะ แต่ดุดันนี่..... เขาหมายความว่าอย่างไร?

ราวกับว่าซือถูเย้นจะอ่านความคิดของนางออก จึงได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “เจ้าเป็นคนฆ่าอาฟาใช่หรือไม่?”

หลี่โม่ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด ทำไมเขาถึงรู้ละ? ในตอนที่ฆ่าอาฟา เขาไม่ได้ประทับอยู่ในวัง คืนนั้น เขาออกไปข้างนอกกับจื่นเฉิงแล้ว

หลี่โม่เกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในฐานะที่เป็นอ๋องซือเจิ้ง ความเมตตามากมายของเขา ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถทนให้ใครต้องถูกฆ่าอยู่ในหลังวังได้หรอก การท้าทายอำนาจของเขา โดยเฉพาะความเมตตาสองพยางค์นี้ไม่ใกล้ประเด็นแต่อย่างใด

ซือถูเย้นยื่นมือออกไป ลูบไล้รอยแผลที่เหลือทิ้งไว้บนใบหน้าของนางเบาๆ เมื่อมือที่หยาบกร้านสัมผัสกล้ามเนี้อจึงเกิดการกระตุ้นขึ้น หลี่โม่เกิดอาการแข็งทื่อขึ้นในใจ ไม่ได้รู้สึกถึงความอ่อนโยนเลยสักนิด เป็นความหวาดกลัวและภัยคุกคามที่พูดออกมาไม่ได้เท่านั้น น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับอากาศในวันที่หิมะตก “สำหรับคนที่ทำร้ายตัวเอง อย่าใจอ่อนโดยเด็ดขาด เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาซื่อเจิ้ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องยืนอยู่เคียงข้างกายของเปิ่นหวัง”

เดิมทีหลี่โม่คิดว่าเขาต้องการพูดเพื่อคุกคามเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เขาจะพูดเช่นนี้

“หม่อมฉันฆ่าคน” น้ำเสียงของหลี่โม่ขึ้นจมูกเล็กน้อย

“ข้าก็เคยฆ่าคน มากกว่าเจ้าเสียอีก” ซือถูเย้นดึงมือกลับ แต่สายตาก็ยังคงเย็นชาเฉกเช่นเดิม “แต่หากเจ้าไม่ฆ่า คนอื่นก็จะมาฆ่าเจ้า”

“หลังจากนั้นหม่อมฉันก็ต้องฆ่าคน” หลี่โม่นึกถึงการตายของเจ้าของร่างเดิม ไม่ว่าอย่างไร แค้นนี้นางต้องแก้แค้นแทนเจ้าของร่างให้ได้

ในเมื่อนางช่วงชิงร่างกายจากเจ้าของมาเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป นางก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อแก้แค้นให้นาง

“เจ้ามีเหตุ จึงต้องฆ่า” ซือถูเย้นหยิบกริชด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นให้แก่นาง “กริชด้ามนี้ เสด็จพ่อได้ให้ไว้แก่เปิ่นหวัง มันถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากเหล็กดำ แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ข้าให้เป็นขอแทนใจแก่เจ้า”

หลี่โม่สูดสมหายใจเข้าออก พร้อมกับรับกริชมา “สิ่งของแทนใจที่ทุกคนให้ ล้วนเป็นของมีค่าเงินทองทั้งนั้น ให้กริชกันที่ไหน?”

“หากไม่ต้องการก็เอากลับมา!” ซือถูเย้นยื่นมือออกไปแย่งคืน

หลี่โม่ยื่นมือออกไปกอดเขาอย่างรวดเร็ว อิงแอบแนบชิดบนทรวงอกของเขา “ของที่ให้แล้ว ไม่สมควรเอากลับคืนนะเพคะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม