ตอนที่ 222 ข้าไม่ได้ยิ้ม
เที่ยงคืนแล้ว หลีโม่ก็ยังนอนพลิกตัวอยู่บนตัว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
วันที่ข้ามเวลาเข้ามาในยุคโบราณ นางก็มักจะนอนไม่พอเสมอ เพราะงานรัดตัวมาก
แต่ตอนนี้เพราะเส้นทางที่วางเอาไว้ก็เริ่มทำให้นางนอนไม่หลับ
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมของหลีโม่มักจะผ่านเข้ามาในหัวช่วงดึกๆ มาพร้อมกับความแค้นของนาง
นอกหน้าต่าง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
นางจึงลุกขึ้นมา
หยางมามายังไม่กลับมาจากในวัง เย็นเอ๋อร์อยู่รับใช้ท่านแม่ที่ห้อง เตาเหล่าต้ามีคำสั่งไม่ให้เข้าไปในห้องและไม่ให้เข้ามาที่ห้องปีกข้างของนาง
“ใคร?” หลีโม่ถามอย่างระแวดระวัง
“เจ้าจะเปิดประตูดีๆ หรือจะให้ข้าพังประตูเข้าไป” น้ำเสียงเคร่งขรึมดังออกมาจากนอกหน้าต่าง
หลีโม่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขาเองงั้นหรือ? ดึกขนาดนี้เขามาทำอะไร? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
หลีโม่จึงรีบไปเปิดประตู แล้วถอยออกมาหนึ่งก้าว คนยังไม่ทันจะยืนได้มั่นคง เงาสีดำสายหนึ่งก็เข้ามาจับนางเอาไว้ นางก็ถูกม้วนเข้าไปในอ้อมกอดที่ใหญ่โตของคนคนหนึ่ง กลิ่นสุราโชยเข้าจมูก ตามมาด้วยเสียงหายใจที่หนักหน่วงของเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ท่านดื่มเหล้ามางั้นหรือ?” ในใจของหลีโม่เริ่มหวาดกลัว ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไร” เขาพ่นกลิ่นเหล้าที่รุนแรงออกมาอยู่บนยอดศีรษะของนาง น้ำเสียงยังคงมีความกดดันอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
หลีโม่คาดเดาอยู่ในใจ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน
นางจึงไม่ได้ถามอะไรอีก แล้วยื่นมือเข้าไปกอดเขา เอาศีรษะเข้าไปซบในอกของเขา เก็บสิ่งที่คิดเอาไว้ในใจไม่พูดสิ่งใดออกมา
เสียงลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้น มีกลิ่นอายของความโศกเศร้าแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่หลีโม่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่อยู่ในตัวของเขา
ใจของเขานั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ตอนนี้ก็คือการต่อสู้ที่มีมากมายอยู่ในช่วงนี้ ก็จะมีสภาพออกมาเช่นนี้แทบทุกวัน
นางไม่กล้าจะจินตนาการเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่ทำให้เขาหนีเตลิดออกมาได้เช่นนี้คืออะไร?
เมื่อพอใจแล้วเขาก็ปล่อยนาง
หลีโม่มองไปที่ใบหน้าของเขา ดูไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก ริมฝีปากก็ไร้เลือดฝาด ทั้งตัวดูไม่มีสง่าราศีเลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะรินน้ำให้ท่านสักแก้ว” หลีโม่หันไปรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง น้ำนั่นได้เย็นไปแล้ว แต่เขาก็ยังดื่มมันลงไป
เขาจับแก้วเอาไว้แล้วนั่งลง จากนั้นก็มองไปที่นาง จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “สตรีที่เคยดีกับข้าที่สุดผู้นั้น ได้ตายไปแล้ว”
หลีโม่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจมาก หรือว่าคนที่เขาพูดจะหมายถึงโร๋วเอ๋อร์งั้นหรือ?
นางเสียใจแทนเขาออกมาจากใจจริง แต่คิดหาคำปลอบใจเขาไม่ออก ได้แต่พูดว่า “ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจไปหรอกนะ คนตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้”
ซือถูเย้นพิงตัวไปกับเก้าอี้เล็กน้อย ปรับท่านั่งที่สบายที่สุด “เจ้าไปนอนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพักหนึ่ง”
ในตำหนักอ๋องซื่อเจิ้งทำให้เขารู้สึกใจหาย เขาจึงต้องปลีกตัวออกมา
“ข้าจะนั่งเป็นเพื่อนท่านตรงนี้แหละ” หลีโม่กล่าว เขาคงจะรักสตรีที่ชื่อว่าโร๋วเอ๋อร์ผู้นั้นมากกระมัง? แม้ในใจจะทุกข์ระทม แต่เรื่องการแต่งงานของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนตัดสินใจ เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาว่ารักนาง เมื่อก่อนทำได้แค่ใช้การแอบไปมาหาสู่กันมาบรรยายความสัมพันธ์ของพวกเขา
เมื่อก่อนนางไม่รู้เลยว่าเขาจะรักแม่นางโร๋วเอ๋อร์มากขนาดนี้ ถ้าหากว่ารู้ นางอาจจะเก็บความรู้สึกของตนกลับไปสักหน่อย
บรรยากาศที่โศกเศร้าอยู่ในความเงียบก็ค่อยๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นความโศกเศร้าที่พูดไม่ออก ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา ซือถูเย้นหลับตาลง แต่หลีโม่รู้ว่าเขาไม่ได้หลับ เพราะขนตาของเขายังขยับอยู่ตลอดเวลา
เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็เต้นไม่หยุด เห็นได้ว่าหัวของเขาหมุนไม่หยุด อีกทั้งอาการปวดหัวของเขาคงจะกำเริบอีกแล้ว เพราะว่าเขามักจะขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ
หลีโม่ตกใจมาก ที่เขาพูดมานั้น หมายถึงซือจู๋กูกูงั้นหรือ? คนที่ยืนอยู่ข้างกุ้ยไท่เฟยมาโดยตลอด คนที่ไม่เคยพูดอะไรผู้นั้น
ตายแล้วงั้นหรือ?
คิดไม่ถึงว่านางจะลงมือทำร้ายกุ้ยไท่เฟย? ที่แท้นางก็เป็นคนที่จงรักภักดีงั้นเหรอ? คิดมาตลอดว่านางเป็นคนชั่วร้าย
งั้นก็หมายความว่าคืนนี้เขาไม่ได้เสียใจเรื่องโร๋วเอ๋อร์ใช่หรือไม่?
“เจ้ายิ้มอะไร?” จู่ๆ ซือถูเย้นก็ถามอย่างโมโห
หลีโม่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ยื่นมือขึ้นไปจับมุมปากที่ยกยิ้มให้ลงมาเป็นปกติทันที พยายามถูหน้าของตัวเอง “ยิ้มหรือ? ไม่ได้ยิ้ม ตอนที่ข้าจะร้องไห้ก็จะเป็นแบบนี้แหละ ข้ารู้สึกเสียใจแทนท่าน ซือจู๋กูกูจะต้องรักท่านมากแน่นอน”
“ข้าเห็นนะ เมื่อกี้เจ้ากำลังยิ้ม” ซือถูเย้นจ้องนางตาเขม็ง เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
หลีโม่ส่ายหัวปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ ท่านพูดเรื่องที่สลดใจมากขนาดนี้กับข้า ข้าจะยิ้มได้อย่างไร? ข้าเสียใจไม่ทันแล้ว”
“ข้าไม่ได้ตาบอดนะ” ซือถูเย้นลุกขึ้นมาเปิดผ้าห่มออกต้องการจะออกไป เขาเห็นหลีโม่กำลังยิ้ม นี่ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก และโกรธมาก
หลีโม่จึงยื่นมือไปจับเขาเอาไว้ พูดด้วยความเสียใจว่า “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่...แค่ควบคุมมันไม่ได้ ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้ม”
“เจ้าจะบอกว่า เจ้าได้ยินว่าซือจู๋กูกูตายแล้ว เจ้าก็ควบคุมตัวเองที่กำลังยิ้มไม่ได้งั้นหรือ?” ซือถูเย้นไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อนางได้เปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างบ้าคลั่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา
หลีโม่พูดออกมาอย่างอ้ำๆ อึ้ง “ไม่ใช่ ข้านึกว่า ตอนแรกข้าไม่รู้ว่าคนที่ตายเป็นซือจู๋กูกู ข้านึกว่าเป็นคนที่อยู่ในใจของท่าน เพราะท่านบอกว่า สตรีที่ดีกับท่านที่สุดผู้นั้นตายแล้ว”
เขามองนางอย่างแปลกใจ “คนในใจกับผีอะไร? ข้ามีคนในใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“โร๋วเอ๋อร์ไงล่ะ” หลีโม่บิดผ้าห่ม “เมื่อก่อนไม่ใช่เอาชุดของนางมาให้ข้าหรอกหรือ?”
ซือถูเย้นมองนางแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า ที่เจ้าได้ยินว่าข้าไม่มีคนในดวงใจ เจ้าก็เลยยิ้มงั้นหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...