ตอนที่ 393 วังหลังจะทำอย่างไร
หลีโม่มองไปที่เขา อ่านอารมณ์ที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้อย่างละเอียด จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ท่านไม่อยากแต่งรองพระสนมเข้าตำหนักใช่หรือไม่? หากท่านไม่อยากแต่ง ข้าปฏิเสธแทนท่านได้นะ”
ซือถูเย้นรู้สึกโมโหขึ้นมา “ไม่ใช่ปัญหาของข้าอยากแต่งหรือไม่อยาก แต่เจ้าอยากให้ข้าแต่งหรือไม่ ถ้าไม่ชอบ เจ้าก็ไปคุยกับเสด็จแม่เอาเอง”
“ข้าอย่างไรก็ได้” หลีโม่ความคิดในใจของเขาออก ไหวไหล่แล้วพูดว่า “ท่านชอบก็พอแล้ว”
ซือถูเย้นแค่นเสียงเย็นชา ลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงไปอย่างไม่พอใจนัก
หลีโม่เอามือเท้าคาง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
“เป็นห่วงฮ่าวเอ๋อร์หรือ?” ซือถูเย้นเอ่ยถาม
“เป็นห่วงเขา แล้วก็ห่วงซือถูจิ้งด้วย และยิ่งเป็นห่วงสถานการณ์ของตอนนี้ด้วย”
ซือถูจิ้งไม่พูดไม่จา ปลดตำแหน่งฮองเฮาเป็นเพียงก้าวแรก ก่อนอื่นต้องทำให้ทางไถ้ฝู้เกรงกลัวก่อน จากนั้นก็ค่อยหันมาตั้งใจรับมือเรื่องการกลับมาเมืองหลวงของอ๋องหนานหวย
เขาพูดขึ้นมาว่า “ปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง จะทำให้เกิดความวุ่นวายในวังหลวงชั่วคราว ข้าเสนอเลื่อนตำแหน่งให้หมุยเฟยขึ้นมา เจ้าเข้าไปคุยกับนางได้เป็นบางครั้งบางคราว”
“หมุยเฟย?” หลีโม่ตกใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าท่านจะเลื่อนตำแหน่งให้หมุยเฟย?”
“นางคือคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เจ้าไม่ต้องไปจำว่าเมื่อก่อนนางจะเคยช่วยนายหญิงแก่ อีกอย่างเรื่องของซี่ยหลิน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนางมากมายขนาดนั้น”
“ข้ารู้ เสี้ยห้วยจุนเป็นคนทำ” หลีโม่เองก็ไม่ได้โทษหมุยเฟย หมุยเฟยในเวลานั้นเพียงอยากจะปกป้องตัวเอง และอยากจะหาเส้นทางให้กับองค์ชายสาม สับสนไปช่วงเวลาหนึ่ง นายหญิงแก่กับเสี้ยห้วยจุนก็ไม่ได้ช่วยนาง นางคงจะได้รับบทเรียนแล้ว
เป็นเรื่องจริงที่หมุยเฟยคือคนที่เหมาะสมที่สุด ตระกูลนางไม่มีอำนาจและยังถูกนายหญิงแก่กดดัน จึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว
หลีโม่มองไปทางซือถูเย้น “ความจริงแล้วท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ท่านปลดตำแหน่งฮองเฮา ความหมายของท่านคือต้องการจะดึงองค์รัชทายาทลงมา แล้วสนับสนุนอ๋องเหลียงใช่หรือไม่?”
ซือถูเย้นส่ายหน้า “อ๋องเหลียงไม่มีทางแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท”
“แต่ที่ท่านทำมามากมายก็ไม่ใช่เพราะต้องการผลักดันเขาขึ้นไปหรือ? กำจัดชื่อเสียงที่ไม่ดีก็เพื่อเขา สร้างเส้นสายให้ก็เพื่อเขา สร้างชื่อเสียงที่ดีงามก็เพื่อเขา ดูจากทั้งหมดที่ทำมาแล้วก็เหมือนต้องการให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้”
ซือถูเย้นไม่พูดไม่จา ได้แต่มองหน้านางอยู่อย่างนั้น
หลีโม่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ท่านอยากให้เขาเป็นเกราะป้องกัน หรือจะให้เป็นสิ่งที่ตบตาคนอื่น? ท่านอยากจะให้ทุกคนต่างคิดว่าท่านต้องการผลักดันเขาให้เป็นรัชทายาทงั้นหรือ?”
ซือถูเย้นยังไม่พูดอะไร ก็เท่ากับว่าไม่ปฏิเสธสิ่งที่หลีโม่พูดมา
หลีโม่รู้สึกโกรธขึ้นมา “ท่านดึงดูดความสนใจของทุกคนไปที่ตัวของเขา มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายเขา”
“เขาคือลูกหลานของตระกูลมู่หลง เขาควรจะรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ อีกอย่างเขาเป็นคนที่ยอมทำเรื่องนี้เอง เมื่อก่อนเขาเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีชีวิตชีวาอะไร”
“ท่านถามเขาแล้วงั้นหรือ?” หลีโม่เอ่ยถาม
“การแลกเปลี่ยนระหว่างชายชาตรี บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ เพียงแค่มองแววตาที่แสดงออกมาก็รู้แล้ว”
หลีโม่ถลึงตามองเขา “ท่านมันสุนัขจิ้งจอกเฒ่าชัดๆ”
ไม่นานนางก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่าท่านเลื่อนตำแหน่งให้หมุยเฟย พระสนมในวังหลังเหล่านั้นจะพยายามกดดันนางหรือไม่? ความคิดของท่านเกรงว่าจะไม่สามารถปิดบังเหลียงไถ้ฝู้กับกุ้ยไท่เฟยได้”
“เพราะฉะนั้น เพียงแค่หมุยเฟยจัดการเรื่องในวังหลัง ยังต้องหาคนมาช่วยนางจัดการเรื่องนี้ด้วย”
“ใคร?” หลีโม่เอ่ยถาม
ซือถูเย้นมองไปที่นาง “เจ้าคิดว่าอี๋เฟยเป็นอย่างไร?”
หลีโม่คิดครู่หนึ่ง “ไม่เลว”
ซือถูเย้นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะเลือกอี๋เฟย”
ต้องเป็นอี๋เฟยคนเดียวเท่านั้น แม้อี๋เฟยเจ้าเล่ห์ร้ายกาจแต่นางก็หลบซ่อนอยู่ในที่มืดมาตลอด ถึงเวลาแล้วที่นางต้องเข้าไปอยู่ภายใต้แสงสว่าง ได้รับความเคารพในสายตาของทุกคน
คนผู้หนึ่ง หากได้รับตำแหน่งที่สำคัญ ย่อมต้องมีคนจับจ้องแน่นอน อี๋เฟยคบค้าสมาคมกับคนมากมาย ทุกวันทำอะไรบ้าง กินอะไรบ้าง เข้าส้วมกี่ครั้ง ต่างก็มีคนให้ความสนใจ
อีกอย่าง เมื่อก่อนอี๋เฟยกับหมุยเฟยแม้จะบอกว่าเป็นสหายที่สนิทกัน แต่ในใจของอี๋เฟยก็รู้สึกไม่ดีกับหมุยเฟย ในใจของหมุยเฟยเองก็ระมัดระวังต่อตัวอี๋เฟยเช่นกัน และตระกูลของอี๋เฟยก็มีอำนาจมากมาย หมุยเฟยจะควบคุมจุดบกพร่องของนาง และมันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะเปิดใจให้กันได้อย่างแท้จริง
หลีโม่เห็นซือถูเย้นยังคงยิ้มอยู่ อีกทั้งยังยิ้มอได้ร้ายกาจไม่น้อย จึงถามขึ้นมาว่า “ท่านยังมีความคิดอะไรอื่นอีกหรือ?”
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าการที่ต้องหาคนผู้หนึ่งเข้าไปเพิ่มมันเป็นเรื่องที่สนุกมาก?” ซือถูเย้นกล่าวอย่างเย็นชา
หลีโม่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ข้างั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นพระชายาซื่อเจิ้ง ช่วยเสด็จแม่แบ่งเบาความทุกข์ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าเจ้าทำได้เพียงยืนอยู่ข้างเสด็จแม่ ทำตัวเป็นกลางเข้าไว้”
หลีโม่ถอนหายใจเบาๆ “ข้าเป็นเพียงชายาที่อยู่นอกวัง จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องในวังหลังได้อย่างไร?”
“เพราะฉะนั้น จึงทำได้เพียงให้เจ้าไปช่วงดูแลเรื่องบัญชีช่วยเสด็จแม่ บัญชีของวังหลังนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก ตำหนักนางในรายงานมาว่าหลายปีมานี้ ค่าใช้จ่ายของวังหลวงสูงถึงแปดแสนตำลึง นี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในวังหลวงเท่านั้น”
หลีโม่มองไปที่เขา อ่านอารมณ์ที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้อย่างละเอียด จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ท่านไม่อยากแต่งรองพระสนมเข้าตำหนักใช่หรือไม่? หากท่านไม่อยากแต่ง ข้าปฏิเสธแทนท่านได้นะ”
ซือถูเย้นรู้สึกโมโหขึ้นมา “ไม่ใช่ปัญหาของข้าอยากแต่งหรือไม่อยาก แต่เจ้าอยากให้ข้าแต่งหรือไม่ ถ้าไม่ชอบ เจ้าก็ไปคุยกับเสด็จแม่เอาเอง”
“ข้าอย่างไรก็ได้” หลีโม่ความคิดในใจของเขาออก ไหวไหล่แล้วพูดว่า “ท่านชอบก็พอแล้ว”
ซือถูเย้นแค่นเสียงเย็นชา ลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงไปอย่างไม่พอใจนัก
หลีโม่เอามือเท้าคาง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
“เป็นห่วงฮ่าวเอ๋อร์หรือ?” ซือถูเย้นเอ่ยถาม
“เป็นห่วงเขา แล้วก็ห่วงซือถูจิ้งด้วย และยิ่งเป็นห่วงสถานการณ์ของตอนนี้ด้วย”
ซือถูจิ้งไม่พูดไม่จา ปลดตำแหน่งฮองเฮาเป็นเพียงก้าวแรก ก่อนอื่นต้องทำให้ทางไถ้ฝู้เกรงกลัวก่อน จากนั้นก็ค่อยหันมาตั้งใจรับมือเรื่องการกลับมาเมืองหลวงของอ๋องหนานหวย
เขาพูดขึ้นมาว่า “ปลดฮองเฮาออกจากตำแหน่ง จะทำให้เกิดความวุ่นวายในวังหลวงชั่วคราว ข้าเสนอเลื่อนตำแหน่งให้หมุยเฟยขึ้นมา เจ้าเข้าไปคุยกับนางได้เป็นบางครั้งบางคราว”
หลีโม่เห็นซือถูเย้นยังคงยิ้มอยู่ อีกทั้งยังยิ้มได้ร้ายกาจไม่น้อย จึงถามขึ้นมาว่า “ท่านยังมีความคิดอะไรอื่นอีกหรือ?”
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าการที่ต้องหาคนผู้หนึ่งเข้าไปเพิ่มมันเป็นเรื่องที่สนุกมาก?” ซือถูเย้นกล่าวอย่างเย็นชา
หลีโม่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ข้างั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นพระชายาซื่อเจิ้ง ช่วยเสด็จแม่แบ่งเบาความทุกข์ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าเจ้าทำได้เพียงยืนอยู่ข้างเสด็จแม่ ทำตัวเป็นกลางเข้าไว้”
หลีโม่ถอนหายใจเบาๆ “ข้าเป็นเพียงชายาที่อยู่นอกวัง จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องในวังหลังได้อย่างไร?”
“เพราะฉะนั้น จึงทำได้เพียงให้เจ้าไปช่วยดูแลเรื่องบัญชีช่วยเสด็จแม่ บัญชีของวังหลังนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก ตำหนักนางในรายงานมาว่าหลายปีมานี้ ค่าใช้จ่ายของวังหลวงสูงถึงแปดแสนตำลึง นี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในวังหลวงเท่านั้น”
หลีโม่รู้สึกตกใจมาก “แปดแสนตำลึงเชียวหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
ตอนที่นางแต่งเข้าตำหนักอ๋องซื่อเจิ้ง เคยเห็นบัญชีของตำหนักอ๋องซื่อเจิ้ง ทุกๆ ปีค่าใช้จ่ายของตำหนักอ๋องซื่อเจิ้งอยู่ที่สามพันตำลึงโดยประมาณ แน่นอนว่ามันเทียบตำหนักอ๋องซื่อเจิ้งกับวังหลวงไม่ได้ อันดับแรกคือประชากรก็เทียบกันไม่ได้แล้ว เพิ่มคนเข้ามาในตำหนักอ๋องซื่อเจิ้งห้าสิบแปดคนโดยประมาณ แต่ค่าใช้จ่ายในหนึ่งปีของตำหนักซื่อเจิ้งก็คือสามพันตำลึง สำหรับการดำเนินชีวิตก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ในวังหลวงใช้อย่างไรให้ถึงแปดแสนตำลึง?
อีกอย่าง นางก็จำประวัติศาสตร์ได้ว่า ฮ่องเต้ที่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อที่สุดในราชวงศ์หมิง หนึ่งปีจะใช้จ่ายประมาณเก้าแสนตำลึง เมื่อถึงราชวงศ์ชิง ฮ่องเต้คังซีควบคุมค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายในหนึ่งปีอยู่ที่หนึ่งแสนตำลึงโดยประมาณ
“ใช่ ตอนที่ฮ่องเต้ยังทรงมีพระวรกายที่แข็งแรงก็เคยเสนอขึ้นมา พระองค์ทรงบอกว่าค่าใช้จ่ายในวังหลวงเยอะเกินไป ทรงมีเจตนาอยากจะควบคุมเสียหน่อย ค่าใช้จ่ายของปีนี้ยังไม่ได้สรุปออกมา แต่สิ้นปีจะต้องสรุปหนึ่งครั้ง ข้าอยากให้เจ้าดูแลบัญชีนี้ ควบคุมค่าใช้จ่าย จัดสรรเงินให้กับเสบียงอาหารและสำหรับอุดหนุนกองทัพมากๆ หน่อย สิ้นปีจะเอาไปทำเสื้อนวมและเพิ่มเสบียงให้กับเหล่าทหาร เพิ่มเงินเดือนกับอาหารในแต่ละเดือนของทหารด้วย”
หลีโม่พยักหน้า แต่ในใจของนางกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
นางรู้ เพียงแต่การให้ความสำคัญกับทหาร ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการต่อสู้ ทุกวันนี้ที่ใช้ชีวิตอย่าง ประหยัด ก็น่าจะเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้ เป็นทะเลทรายทางเหนือหรือเป็นเขตชุมชนหมานอิ๋?
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
การตามหาเขาละมั่งโลหิตยังไม่ลดละ ซือถูจิ้งเหลือเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ทุกคนต่างก็ร้อนใจเหมือนมดที่อยู่ในกระทะร้อน แต่ทุกคนต่างก็หมดปัญญาจะช่วยเหลือ
และในเวลานี้ ใต้เท้าหลายท่านในราชสำนักต่างก็แนะนำคนที่จะถูกเลือกให้เป็นราชบุตรเขย
วันนี้ซูนช่านก็เข้ามาขอร้องฮองไทเฮา คุกเข่าบอกว่าเขารักองค์หญิงมานานแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าองค์หญิงจะเป็นหรือตาย เพียงอยากจะแต่งนางเข้าจวนเป็นภรรยาของตน ก่อนที่นางจะสิ้นใจ
ฮองไทเฮาดุด่าเขาเสียงดัง แต่ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ไป
หากไม่มีใครมาขอแต่งงาน ฮองไทเฮาอาจจะพิจารณาให้องค์หญิงแต่งงานกับเขา ทว่าวันนี้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาแนะนำคนที่มีความสามารถและรูปงามก่อนแล้ว ฮองไทเฮาจะเห็นหลานชายตระกูลตัวเองที่ไม่เป็นวรยุทธ์อยู่ในสายตาได้อย่างไร?
ดังนั้น ตอนที่กุ้ยไท่เฟยเข้าวังมา ฮองไทเฮาจึงพูดเรื่องที่หลานชายเข้าวังมาขอแต่งงานด้วยความโมโห ทั้งยังพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้านี่ก็แค่อยากได้สมบัติของซือถูจิ้ง ทั้งชีวิตนี้ล้วนไม่มีอนาคตเหมือนกับพ่อของมันไม่มีผิด หากไม่มีเราสองพี่น้อง ตระกูลซุนคงกลายเป็นต้นไม้ที่ถูกลิงโค่นล้มลงไปแล้ว”
กุ้ยไท่เฟยยิ้มบางๆ ปลอบใจ “ท่านพี่จะโกรธทำไมกัน? ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราก็ให้องค์หญิงแต่งงานกับเขาไม่ได้หรือ?”
“หากเขามีอนาคต ก็ใช่ว่าไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเมื่อแต่งงานกับซือถูจิ้งแล้ว เขาก็คือราชบุตรเขย และนับว่าเป็นเรื่องที่ทำเพื่อตระกูลของพวกเรา แต่เมื่อข้าคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่เขาทำก็โมโหขึ้นมา”
“เอาล่ะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว มีถูกใจบ้างหรือยัง?” กุ้ยไท่เฟยเอ่ยถาม
ทันใดนั้นฮองไทเฮาก็ตื่นตัวขึ้นมา “เจ้าเองก็มีคนอยากแนะนำหรือ?”
กุ้ยไท่เฟยยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้คบค้าสมาคมกับบุรุษหนุ่ม จะไปรู้จักคนมีความสามารถและรูปงามได้อย่างไร? แต่ว่าอยากจะช่วยท่านดูสักหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...