ตอนที่ 440 ไม่ใช่แผลหน้าผี
ซือถูเย้นกล่าวว่า “เขาไม่ได้อยากทรยศฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่เขาเพียงถูกใส่หนอนพิษลงในร่างกาย เรียกว่ามนตร์หนอนพิษ คนที่ที่โดนเช่นนี้หากมีความเชื่อที่แน่วแน่ เขาจะไม่พูดความจริงใดๆ ออกมาทั้งนั้น แต่เขาดูหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ฮ่องเต้ก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงหวั่นไหว”
ฮ่องเต้พูดอย่างเย็นชาว่า “เขากลัวการฝังทั้งเป็น”
“ใครก็ล้วนกลัวตายทั้งนั้น” ซือถูเย้นพูดอย่างนิ่งเรียบ
หลีโม่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง รู้สึกคับแค้นใจยิ่งนัก อะไรเขาก็ตรวจสอบจนกระจ่างหมดแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่พูดให้เร็วกว่านี้? มันทำให้ความกังวลใจของนางสูญเปล่า
ฮ่องเต้จึงตรัสว่า “แม้พวกเจ้าจะให้เสี่ยวกูกูมาเป็นนักเจรจา ข้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้มีราชการเช้า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้าวังมาคงจะมาที่วังเวยซีเพื่อสืบหาความจริง ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะตัดแขน”
ซือถูเย้นส่ายหน้า “ฝ่าบาท ความจริงแล้วหม่อมฉันไม่ได้ต้องการให้เสี่ยวกูกูมาพูดโน้มน้าวท่าน แต่ว่าเป็นการเชิญเสี่ยวกูกูมาต่างหาก หวังว่าท่านจะให้หลีโม่รักษาอาการป่วยของท่านแต่โดยดี ”
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างเย็นชา “ได้ฟังความหมายของเจ้า หากข้าไม่เห็นด้วย พวกเจ้าจะยังทำให้ข้ายอมรักษาแต่โดยดีหรือไม่?”
ซือถูเย้นนั่งลงข้างๆ เตียง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ บรรพบุรุษให้มีดกรีดแผลเป็นกับหลีโม่แล้ว”
ฮ่องเต้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง หันไปมองหลีโม่ “ดูเหมือนว่ามีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังไม่รู้”
“ฝ่าบาท” พูดออกมาจากความรู้สึกว่า “การตัดแขนคือการเรื่องที่อับจนหนทาง ตอนนี้ขุนนางยังไม่เข้าวัง ท่านไม่ลองให้หลีโม่ตรวจดูสักหน่อย? นางเคยสัมผัสโรคเช่นนี้มาก่อน”
“นางเอามีดกรีดแผลเข้าวังหรือ?” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซือถูเย้นส่ายหัว “หม่อมฉันเพียงหวังว่าฝ่าบาทจะยอมรับการรักษา”
ฮ่องเต้เงียบงันลงไม่พูดสิ่งใด ราวกับว่ากพลังชั่งน้ำหนักความคิดอยู่
ซือถูเย้นพูดต่อว่า “หากนางไม่ชำนาญ กับการที่ท่านจะตัดแขนมันก็ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?”
ลู่กงกงกับเปากงกงก็ค่อยๆ พากันพูดโน้มน้าวให้เขายอมตกลง
เดิมทีการโน้มน้าวของซือถูจิ้ง ก็ทำให้เขาหวั่นไหวเพียงเล็กน้อย ตอนนี้เมื่อได้ฟังสิ่งที่ซือถูเย้นพูดมา อีกทั้งเขายังบอกว่าว่าหลีโม่ได้รับความไว้วางใจจากบรรพบุรุษให้มีดกรีดแผลเป็นมา จึงค่อยๆ เอนเอียงเรื่อยๆ ถึงอย่างไร คนที่บรรพบุรุษ ไว้ใจ จะมีอะไรที่เชื่อถือไม่ได้อีก?
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งคืน หากนางยังไม่ได้วิธีรักษาก่อนพรุ่งเช้า ก็ทำตามวิธีของข้าก่อนหน้านี้”
หลีโม่ได้ยินดังนั้น จึงถอนหายใจแล้วมองไปที่ซือถูเย้น ซือถูเย้นเองก็มองมาที่นางด้วยสายตาให้กำลังใจ
หลีโม่หยิบกล่องยาขึ้นมา นั่งลงบนพื้นตรวจชีพจร
นางจำเป็นต้องรู้ว่าอาการของโรคตอนนี้ถึงขั้นไหน ปรสิตที่แขนจะสามารถหลุดออกได้ในระยะเวลาอันสั้น เพียงใช้การผ่าตัดมา การผ่าตัดตัวปรสิตแบบนี้ออกจากแขน ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลังจากนางตรวจชีพจรเสร็จ ก็ใช้เข็มฝังลงไปในจุดฝังเข็ม อาการป่วยของเขาถึงขั้นร้ายแรงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหมอหลวงใช้ยาอะไร ถึงทำให้เขามีสติและมีชีวิตชีวาเช่นนี้ได้
วันนั้นนางเคยอ่านหมวดหมู่ของชีพจร จึงรู้ว่ายาที่หมอหลวงใช้ไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้มีสติและมีชีวิตชีวาได้ ที่เขาเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับการฝังเข็มให้หัวใจแข็งแรง
ซือถูเย้นและฮ่องเต้ต่างก็ไม่พูดอะไร หลีโม่จึงรู้ว่าตนพูดถูกแล้ว
แต่กลับเป็นหมอหลวงที่พูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ “ความหมายของพระชายาก็คือแผลหน้า...ปรสิตที่แขนกับผื่นแดงบนหน้าไม่ใช่โรคเดียวกันงั้นหรือ?”
หลีโม่พยักหน้า “ไม่ผิด ที่เรียกว่าแผลหน้าผีนั้น บางคนก็เรียกว่าแผลหน้าคน จริงๆ แล้วมันคือโรคของปรสิต...”
หลีโม่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง อยากจะอธิบายปรสิตที่เกิดบนผิวให้ชัดเจน แต่ต้องใช้ความพยายามหน่อย หากอธิบายไม่ชัดเจน ฮ่องเต้ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาอาจจะไม่เชื่อมั่นในตัวนาง
ดังนั้นนางจึงพูดขึ้นว่า “ที่เรียกว่าปรสิต ความจริงแล้วในตอนที่ฮองไทเฮาตั้งครรภ์ฝ่าบาททรงเป็นครรภ์แฝด แต่เพราะทารกอีกคนมีพัฒนาการที่ผิดปกติจึงถูกทารกอีกคนค่อยๆ กลืนเข้าไป จากนั้นเมื่อปรสิตในครรภ์แข็งแรง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเคยได้ยินที่ว่า กำเนิดลูกชายหรือไม่ก็คลอดเด็กทารก? ความจริงแล้วมันคือปรสิตที่เกิดในท้องของทารก ปรสิตของฝ่าบาทเริ่มขึ้นต้องแต่ยังเล็กมาก แต่เมื่อฝ่าบาทเติบใหญ่ขึ้น ปรสิตนี้ก็จะค่อยๆ โตขึ้นเช่นกัน และตอนที่ฝ่าบาททรงเกิดแผลเปื่อยผีเสื้อ ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง ทั้งยังกินยาในปริมาณมาก ปรสิตก็ไม่มีทางได้รับสารอาหาร และทำให้ตายไป ทั้งยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทเคยใช้มีดทำร้ายปรสิตหรือไม่ เพราะมันมีหนองไหลออกมา”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่หลีโม่พูด ต่างก็สบตากัน รู้สึกตกใจไม่น้อย
เรื่องนี้...ตามที่นางเล่ามา แผลหน้าผีนี้ไม่ใช่ฝาแฝดพระอนุชาของฮ่องเต้หรอกหรือ? เช่นนั้นฮ่องเต้ก็กลืนกินพระอนุชาของตนใช่หรือไม่?
เรื่องนี้มันทำให้คนรู้สึกตกใจยิ่งกว่าแผลหน้าผีเสียอีก
หลีโม่รู้ว่าพวกเขาต้องคิดเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงพูดตบตาไปก่อนว่า “ปรสิตนี้ คือร่างกายที่เกิดมาผิดปกติ ไม่สามารถเกิดเป็นร่างกายได้ เขาอยากจะกลืนฮ่องเต้กินเป็นอาหาร แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกฮ่องเต้ที่มีร่างกายแข็งแรงกว่ากลืนกินเขากลับ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ได้ผ่านการต่อสู้ที่ร้ายแรงก่อนจะคลอดออกมา”
ตอนที่หลีโม่พูดเช่นนี้ออกมา ในใจก็ละอายยิ่ง แม้คนในนี้จะไม่เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่การที่นางพูดเช่นนี้ก็ทำให้ตนรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง รู้สึกละอายใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ละอายใจต่อวิชาแพทย์
โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่ไม่สามารถยอมรับได้ว่าเขาต่อสู้กับอีกคนที่อยู่ร่วมครรภ์กับเขา ดังนั้นจึงต้องเป็นปรสิตที่จู่โจมเขาก่อน เขาถูกฮ่องเต้กลืนกินกลับเพื่อให้สอดคล้องกับความรู้สึกของฮ่องเต้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...