พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 482

ตอนที่ 482 องค์ชายเจ็ดก็หายตัวไปเช่นกัน

เมื่อหยิบยกบรรพบุรุษขึ้นมา หมุยเฟยย่อมเชื่ออย่างสนิทใจ

นางรีบเอ่ยอย่างรีบร้อน “ถ้าอย่างนั้นเขาอยู่ที่ไหน? ผู้ใดที่จับตัวเขาไป? แล้วจะมีอันตรายหรือไม่?”

“มีความทุกข์ในชีวิต ปรากฏสัญลักษณ์ยันต์แปดทิศ พรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ตก หากยังหาตัวเขาไม่พบ ก็จะมีอันตรายถึงชีวิต” อาซื๋อกูกูกล่าว

มีเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

“อี๋เฟยเป็นคนทำใช่หรือไม่?” หมุยเฟยน้ำตาไหลพรากลงมาพร้อมกับเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ

“ใครเป็นคนทำนั้นไม่สำคัญ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรีบตามหาตัวเขาให้พบ” อาซื๋อกูกูมองหลีโม่ด้วยสายตาเคร่งขรึม “เจ้ามีวิธีการอะไรหรือไม่?”

หลีโม่ในตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นางไม่รู้อะไรทั้งนั้น นางจะเอาวิธีมาจากไหนกัน? โลกภายนอกของวังหลวงออกจะใหญ่โตขนาดนั้น นางจะทำอะไรได้เล่า?

เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง คนที่จับตัวไปจะต้องเป็นอี๋เฟยอย่างแน่นอน แต่พออ่านดูรายชื่อคนที่ออกจากวังไปในวันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นขันทีของตำหนักนางในที่ออกไปซื้อของนอกวังเป็นคนที่อยู่ใต้อาณัติของนาง นั่งเกวียนออกไป ไม่สามารถซ่อนคนเอาไว้ได้

รถม้าก็ออกไปสองคัน คันหนึ่งเป็นของเฉินหลิ่วหลิ่วที่ออกจากวังไปตั้งแต่เช้า ส่วนอีกคันก็เป็นของใต้เท้าหย้วนพ่าน

“ข้าจะไปหาอี๋กุ้ยเฟยสักครู่!” หลีโม่ลุกขึ้นมาก่อนจะมองไปที่อาซื๋อกูกู “เซียนเป้ย?”

อาซื๋อกูกูไม่พูดสิ่งใดแต่กลับพยักหน้าเบาๆ

ซือถูจิ้งพูดขึ้นมาว่า “เซียนเป้ยอะไรกัน? เจ้าไปพบนางจะมีประโยชน์อะไร? นางจะยอมบอกเจ้าหรือ?”

หลีโม่เอ่ยขึ้นว่า “นางย่อมไม่ยอมบอกแน่นอน”

“เช่นนั้นแล้วเจ้ายังจะไปอีกหรือ?”

“หากไม่ไปก็ไร้หนทาง คงได้แต่นั่งรออยู่เช่นนั้น” หลีโม่ยิ้มบาง ก่อนจะออกไป

“อาซื๋อกูกู...” หมุยเฟยรีบขอร้องอาซื๋อทันที จากนั้นอาซื๋อกูกูก็ยื่นมาออกมาห้ามไว้ “ให้นางไปหาเถอะ นางพอจะมีเบาะแสแล้ว”

ซือถูจิ้งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “นางไปพบอี๋กุ้ยเฟยแล้ว ก็จะมีเบาะแสงั้นหรือ? มีเบาะแสแล้วก็ออกไปหาคนเลย เหตุใดต้องไปพบอี๋กุ้ยเฟยด้วย?”

“คนที่เอาตัวองค์ชายสามไปก็คืออี๋กุ้ยเฟย ถไม่ไปพบอี๋กุ้ยเฟย แล้วจะไปพบใครอีกล่ะ?” อาซื๋อกูกูกล่าว

ซือถูจิ้งรู้สึกสับสนขึ้นมา นางไปพบอี๋กุ้ยเฟยแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หรือว่านางจะยอมรับ?

เรื่องนี้นางอาจจะคิดง่ายๆ เกินไปกระมัง?

ทว่าเมื่อเห็นอาซื๋อกูกูไม่พูดสิ่งใด นางจึงทำได้เพียงสั่งคนให้ออกไปตามหาอีกครั้ว

หลีโม่มาถึงตำหนักของอี๋กุ้ยเฟย อี๋กุ้ยเฟยกำลังนั่งกินซุปหวานอยู่ในตำหนัก เมื่อเห็นว่าหลีโม่มา นางจึงยกยิ้มขึ้น “โอ๊ะ นี่ไม่ใช่พระชายาอ๋องซื่อเจิ้งหรอกหรือ? ถึงกับยอมลดตัวมาตำหนักอี๋หลานของข้า ไม่ทราบว่ามีอะไรอยากจะชี้แนะหรือเพคะ?”

หลีโม่นั่งลงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิกล้าชี้แนะหรอกเพคะ พอดีผ่านมาทางตำหนักอี๋หลาน จึงตั้งใจเข้ามาทักทายเท่านั้นเพคะ”

“ผ่านทางงั้นหรือ? เกรงว่าจะตั้งใจมามากกว่ากระมัง?” อี๋กุ้ยเฟยวางช้อนลายครามสีขาวลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้ามองหลีโม่ “ได้ยินมาว่าองค์ชายสามหายตัวไป หรือว่าหนีออกจากวังไปเที่ยวเล่นแล้ว?”

“คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะ” หลีโม่เอ่ยอย่างไม่สนใจนัก

“พระชายาไม่กังวลใจหรือเพคะ? เกรงว่าหมุยเฟยตอนนี้คงร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว” อี๋เฟยหัวเราะเยาะ

“เขายังเด็กอยู่ ก็อาจจะยังเห็นแก่เล่นอยู่บ้าง” หลีโม่เหลือบมองนางด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ “อี๋กุ้ยเฟยคิดเหมือนกันหรือไม่?”

“เกรงว่าจะไม่ใช่เห็นแก่เล่นกระมัง? องค์ชายสามผู้นี้มีนิสัยป่าเถื่อน มักจะก่อเรื่องอยู่บ่อยครั้ง เกรงว่าจะไปยุแหย่ใครให้ไม่พอใจเข้าแล้ว ก็เลยจับตัวเขาออกไปจากวังหลวง ไม่แน่อาจจะกำลังลำบากอยู่”

“ใครกันที่โกรธได้แม้แต่กับเด็กตัวเล็กๆ?” หลีโม่เอ่ยถามอย่างถ่อมตัว

ทหารลับเข้าไปในสนามฝึกราวกับนกอินทรีดำ มาในลานฝึกที่องค์ชายเจ็ดอยู่

หน้าประตูมีคนเฝ้าอยู่ ความระแวดระวังของทหารรักษาการณ์ในสนามฝึกนั้นค่อนข้างสูง แม้แต่เสียงของใบไม้ร่วงก็ยังได้ยิน โชคดีที่ทหารลับผู้นี้มีวิชาตัวเบา จึงไม่ถูกพบตัว

เขาแอบปีนกำแพงเข้าไป แอบเข้ามาในลานฝึกก่อนจะหาห้องขององค์ชายเจ็ดพบ ด้านนอกมีเด็กรับใช้คอยเฝ้ายาม กำลังห่มเสื้อนวมสัปหงกอยู่ เขาเป่าควันมึนงงไปครั้งหนึ่งก็ทำให้เด็กรับใช้นั่นเลอะเลือนไปชั่วขณะ อาศัยตอนที่องครักษ์ไม่ทันสังเกต เปิดหน้าต่างแล้วปีนเข้าไป

ส่วนคนของอี๋เฟยก็เร่งรุกไปที่สนามฝึกทันที ทหารในสนามฝึกได้ยินว่าคนของอี๋กุ้ยเฟยมาเยือนในยามวิกาล ก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง จึงรีบออกไปต้อนรับทันที

“กุ้ยเฟยบอกว่าอากาศเย็นแล้ว จึงให้ข้าน้อยมาส่งผ้าห่มให้กับองค์ชายเจ็ด”

“เช่นนั้นก็ส่งมาให้ข้าก็พอแล้ว” แม่ทัพกล่าว

“กุ้ยเฟยยังมีอีกสองสามประโยคที่ต้องการจะบอกองค์ชายเจ็ด”

“เอ่อ...” แม่ทัพเอ่ยอย่างลำบากใจ “องค์ชายเจ็ดตอนนี้บรรทมไปแล้ว”

คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งยโส “กุ้ยเฟยบอกว่าคำพูดนี้จะต้องบอกองค์ชายเจ็ดให้ได้”

แม่ทัพครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง จึงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องล่วงเกินอี๋กุ้ยเฟย อีกอย่างก็เพียงพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น พูดจบองค์ชายเจ็ดก็ยังทรงบรรทมต่อได้ ไม่ทำให้เสียเวลาต่อการฝึกฝนในวันพรุ่งนี้

“ได้ เช่นนั้นก็เชิญใต้เท้าตามข้ามา” แม่ทัพพาเขาเข้าไปด้วยตนเอง

ทั้งสองมาถึงหน้าประตูห้องขององค์ชายเจ็ด เด็กรับใช้ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย จึงไม่ได้ลุกขึ้นมายังคงนอนกรนเสียงดังอยู่เช่นนั้น

แม่ทัพถีบเขาไปหนึ่งทีพร้อมกับพูดด้วยความโมโหว่า “ข้าให้เจ้ามาเฝ้ายาม แต่เจ้ากลับมานอนอยู่ตรงนี้หรือ?”

แม้จะถูกเตะไปหนึ่งที เด็กรับใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้สึกตัว ร่างกายของเขาได้แต่ล้มลงไปกองกับพื้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม