พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 597

บทที่ 597 ข้าอยากคุยกับเจ้า

คนในหมู่บ้านมู่จ้ายกำลังแยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว การแยกย้ายทำได้ลำบากมาก เพราะมีผู้ป่วยหลายร้อยคนเดินไม่ได้ ทำได้เพียงหามไป

ดูเหมือนกาวเฟิ่งเทียนจะใช้คนของเขาทั้งหมดที่มี และก็ใช้กำลังสหายในยุทธภพบ้าง การขนย้ายขนาดใหญ่ ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านมู่จ้ายไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

พวกเขาผ่านเหตุเกิดแผ่นดินไหว โรคระบาด ความรู้สึกจึงไวและอ่อนแอมาก ทุกคนถามถึงสถานการณ์อยู่ตลอด ซูม่อพูดกับพวกเขาว่า เพราะแหล่งน้ำของหมู่บ้านมู่จ้ายติดเชื้อกาฬโรค จำต้องขนย้าย

แต่ปิดบังได้ไม่นานหรอก ทุกคนต่างก็ไม่ได้โง่

คนหลายพันคน ไม่มีที่ไหนสามารถพำนัก ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ลงเขา แต่เดินขึ้นเขา

เดินไปทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้านมู่จ้าย มีเนินเขาซ่อนอยู่หลายลูก เรียกว่าภูเขาหางหมาป่า สามารถตบตาคนได้ เพราะที่นั่นไม่มีคนอยู่ ฉาวจี่จะไม่มีทางหาเจอในทันที

คนของกาวเฟิ่งเทียน ได้จัดเตรียมเสบียงอาหารไว้ที่ภูเขาหางหมาป่า และได้กางเต้นไว้ก่อนแล้วบางส่วน ตอนที่ย้ายมา เสื้อผ้าและผ้าห่มและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันเช่นหม้อและกระทะล้วนแบกบนใส่หลังมา ดังนั้น ตอนที่มาถึงภูเขาหางหมาป่า ก็สามารถเปิดหม้อหุงหาอาหาร

ชาวบ้านเห็นว่ามาพักอาศัยอยู่ในป่า ในใจก็พอเข้าใจบ้างแล้ว หากบอกว่าแหล่งน้ำติดเชื้อ งั้นราชสำนักก็น่าจะเตรียมที่อยู่ให้พวกเขาสิ แต่ไม่เห็นมีคนของราชสำนักสักคน มีแต่กาวเฟิ่งเทียนช่วยเหลือพวกเขาทุกอย่าง

ต่อให้โง่เขลาแค่ไหน ตัดขาดจากโลกภายนอกแค่ไหน พวกเขาก็พอที่จะเดาได้ ราชสำนักไม่เอาพวกเขาแล้ว คิดลึกกว่านั้น ก็ไม่มีใครกล้าคิดแล้ว

“พระชายา ข้าน้อยอยากคุยกับท่านหน่อยได้ไหม?”

หลังจากที่จัดการชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว ซูม่อก็มาพูดกับหลีโม่

หลีโม่ก็เพิ่งได้พักดื่มน้ำไป ยี่สิบกว่าลี้นี้ เดินตั้งแต่เช้าจนเย็น ตั้งแต่ค่ำจนดึก เพราะมีผู้ป่วย ระหว่างทางจึงล่าช้า

“พูดมา” หลีโม่อารมณ์เสียมาก มองดูชาวบ้านเต็มดอยนี้ โกรธอย่างพูดไม่ออก

ซูม่อนั่งลง หลังจากที่เขาหายป่วย ดูผอมไป สีหน้าซีดขาว “ครั้งนี้ฮ่องเต้จะฆ่าล้างโคตร พวกข้าจะทำอย่างไร ถึงจะสามารถรักษาชีวิตของชาวบ้านพวกนี้?”

ท่าทางซูม่อวิตกกังวลมาก ทหารคนนี้ ตั้งแต่หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวก็เข้ามาช่วยเหลือในหมู่บ้านมู่จ้าย เพื่อคนในหมู่บ้านมู่จ้าย สามารถพูดได้ว่าทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ เขาช่วยคนแล้วมากมาย จากใต้อิฐและซากปรักหักพังที่เน่าเปื่อยากใต้หินใต้ต้นไม้ เขาคิดมาตลอดว่า ตนเองเป็นคนที่ราชสำนักส่งมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยทำหน้าที่เป็นผู้มีคุณธรรม เพราะตอนที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ผู้ใหญ่ก็ได้สั่งย้ายให้เขามาแล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่า ทุกคนล้วนหยุดให้การช่วยเหลือแล้ว มีเพียงเขาคนเดียว ยังโง่ๆซื่อๆพาทุกคนช่วยเหลือรักษาผู้ประสบภัย และสิ่งที่เขาทำพวกนั้น สำหรับราชสำนักแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คนที่เขาช่วยชีวิตกลับมา ตอนนี้ฮ่องเต้จะฆ่าทิ้ง

เรื่องพวกนี้ เกินกว่าที่เขาจะรับไหว วันนี้ที่ขนย้าย เขาไม่พูดอะไรสักคำ กลัวว่าในใจชาวบ้านจะทุกข์ระทด ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาถึงอดไม่ได้มาหาหลีโม่

เขาไม่อยากด่าฮ่องเต้ เพราะไม่มีประโยชน์ เขาแค่อยากช่วยทุกคน ตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหวจนมาถึงตอนนี้ เดือนกว่า เขาได้กว่าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านมู่จ้ายแล้ว

หลีโม่เงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ซูม่อ เจ้าเฝ้าดูทุกคน ข้าต้องลงเขาไปสักหน่อย”

“ท่านจะไปไหน?” ซูม่อร้อนใจ “ท่านจะไปหาแม่ทัพฉินหรือ? ไปไม่ได้เด็ดขาด แม่ทัพฉินเป็นคนของพวกยึดมั่นทำสงคราม นางคิดแต่จะสู้รบ”

“ซูม่อ ดูคนด้านหลังพวกนั้นสิ ช้าเร็วฉาวจี๋ก็จะหาที่นี่จนเจอ พวกเขาไม่มีที่ไปแล้ว ข้าต้องไปลองดู” หางตาหลีโม่ ประกายความโกรธเคืองเป็นที่สุด

นางผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลายอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตั้งแต่เป็นแพทย์หน่วยรบพิเศษจนถึงลูกสาวของจวนเฉิงเสี้ยง การต่อสู้ดิ้นรนต่างๆ นางรู้สึกว่าอารมณ์ของนางสงบลงได้บ้างแล้ว

ไม่ได้โกรธแบบนี้มานานมาแล้ว แทบอยากที่จะไปฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธแบบนั้น

หลิงลี่เดินมาจากด้านหลัง พูดขึ้นว่า “พระชายา ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”

หลีโม่พูดว่า “ไม่ หลิงลี่ เจ้าอยู่ที่นี่ ดูแลชาวบ้านให้ดี อีกอย่างคิดหาวิธีติดต่ออ๋อง ให้เขาส่งกุญแจทองมาจากต้าโจวหรือต้าเหลียงมา จะต้องเร็วทำเร่งเวลาด้วย”

พูดเสร็จ แล้วก็หันตัวเข้าไป

คนเฝ้าประตูคนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญพระชายาอ๋องซื่อเจิ้งคนนี้เลย ไม่อย่างนั้น ก็ควรเชิญนางเข้ามาก่อน ไม่ต้องให้นางยืนรออยู่ที่หน้าประตู

หลีโม่ก็ไม่คิดอะไร ยืนอยู่อย่างเงียบสงบ

หลังจากสักพัก ฉินโจวออกมาด้วยตัวเอง เดิมทีนางก็ตั้งใจที่จะไปหมู่บ้านมู่จ้าย แต่เพราะท่านปู่ไม่สบายจึงยังไม่ได้ไป

“เจ้ามาทำไม?” วันนี้ฉินโจวสวมเสื้อคลุมที่มีแขนกว้างสีทอง มัดผมรวบไว้ ปักด้วยปิ่นสีขาวจี้หยก ตาคิ้วสดใส สีหน้าไม่แยแส ริมฝีปากบางหยักขึ้น แววตาเย็นชา

“ข้าอยากคุยกับเจ้า” หลีโม่จ้องมองดูนาง

ฉินโจวหัวเราะเย้ย “ข้าคิดไม่ออกว่าจะมีอะไรต้องคุยกับเจ้า”

“ประชาชนเป่ยม่อ เจ้าไม่เป็นห่วงแล้วจริงๆหรือ?” หลีโม่ขยับเท้าก้าวขึ้นไปบนบันได ดวงตาแวววาว อดทนต่อความโกรธไว้ ทำตัวให้สงบที่สุด “ตอนที่ข้าอยู่ต้าโจว ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้า เจ้าได้รับชัยชนะทางการศึก ในมือมีอำนาจควบคุมทหาร กำลังเทียบเท่าฮ่องเต้ ประชาชนของเป่ยม่อ เห็นเจ้าเป็นวีรบุรุษ ถึงขั้นมีบางแห่ง รู้เพียงว่ามีเพียงฉินโจวเจ้า และไม่รู้ว่ามีฮ่องเต้”

แววตาฉินโจวเริ่มโกรธ “เจ้าพูดคำพูดพวกนี้หมายความว่าอย่างไร? อยากที่จะยุแยงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฮ่องเต้หรือ?”

“ข้าไม่จำเป็นต้องยุแยง เจ้ากับฮ่องเต้เป่ยม่อ ควรที่จะเป็นปรปักษ์กันถึงจะถูก เพราะฮ่องเต้เป่ยม่อ ในสายตามีเพียงอาณาจักรแผ่นดิน มีเพียงความทะเยอทะยาน ไม่มีประชาชน ฉินโจวเจ้าไม่ใช่”

“น่าขำ” ฉินโจวหัวเราะเย้ย ตาคิ้วปกคลุมไปด้วยความโกรธ “หากเจ้ามาเพื่อที่จะพูดอะไรหลอกลวงน่าขำกับข้า งั้นเจ้ามาผิดที่แล้ว เจ้าเผยแพร่ข่าวลือ พูดหลอกว่าโรคระบาดร้ายแรง ทำให้ผู้ประสบภัยพากันมาเมืองหลวง ทุกอย่างวุ่นวาย จุดประสงค์ของเจ้าสำเร็จแล้ว เจ้ายังอยากที่จะมาหลอกลวงข้า? เจ้าคงคิดว่าเจ้าฉลาดอยู่บ้าง จึงสามารถล้อเล่นเป่ยม่อของข้าอย่างลูกไก่ในกำมือหรือ? น่าขำ”

“ฉินโจว” หลีโม่พูดเสียงเคร่งขรึม “ถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าคำพูดของข้าเป็นความเท็จหรือ? เจ้าตาบอดหรือว่าใจบอดไปแล้ว? เจ้าก็เห็นชาวบ้านผู้ประสบภัยหน้าประตูเมืองแล้ว หากข้าพูดไปเรื่อย พวกเขาจะพากันมาเมืองหลวงหรือ? หากฮ่องเต้ดีกับพวกเขา ให้ความช่วยเหลืออย่างแข็งขันกับฟื้นฟูหลังภัยพิบัติหรือส่งแพทย์ไปยังพื้นที่ระบาดเพื่อทำการรักษา พวกเขาจะไปไหม? พวกเขามองไม่เห็นความหวัง รอก็ไม่มีคนมาช่วย ถึงได้บุกเข้ามาเมืองหลวง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม