บทที่609 ตะลุมบอน
ด้านในมืดสนิท หลีโม่หยิบสมุดพับออกมาจุดไฟ ทำให้เกิดแสงสลัวๆ
นางเปิดกระเป๋าใบใหญ่สองใบที่นางอุ้มไว้ หลังจากนั้นก็เทยาทั้งหมดที่จำเป็นจากตู้ยาใส่ลงในกระเป๋าใบใหญ่ เมื่อกลับไปค่อยแยกออก
คลังเก็บยามีขนาดใหญ่แต่ว่าตู้ยามีอยู่ไม่มากนัก หลังจากที่หลีโม่เก็บยาใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินไปรอบๆ แล้วมองไปที่ด้านหลังเห็นว่ามีห่อมากมายผูกติดกับผ้าขนาดใหญ่ นางแทงมันด้วยกริช พบว่าทั้งหมดเป็นสมุนไพร
หลีโม่ชูไฟแล้วส่องไป ที่ไหนบอกว่าที่นี่มีสมุนไพรเพียงไม่กี่ถุง
คลังเก็บยาเต็มไปด้วยสมุนไพร แต่ละถุงมัดเป็นลูกกลมๆ อย่างน้อยๆต้องมีร้อยกว่าถุง
พระเจ้าช่วย เป็นไปได้หรือไม่ที่ทหารบอกว่าไม่สามารถซื้อสมุนไพรได้ เพราะฮ่องเต้กักตุนไว้ก่อนแล้ว?
ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้?
หลีโม่คิดอย่างรอบคอบและหวาดกลัว นางเปิดประตูเงียบๆและพูดด้วยเสียงเบากับฉินโจว “เจ้าเข้ามาดูนี่”
ฉินโจวพูดอย่างหงุดหงิด “เสร็จหรือยัง? ถ้าเสร็จแล้วก็รีบไป”
หลีโม่ยังยืนยัน “มีบางอย่างที่เจ้าต้องเข้ามาดู เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไม่พูดว่าข้าเป็นคนปล่อยข่าวลือ”
ฉินโจวผงะและมองออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว หน่วยลาดตระเวนที่เพิ่งผ่านไปไม่ควรจะกลับมาอย่างรวดเร็ว
นางหลบเข้าไปและตามหลีโม่เข้าไปในคลังเก็บยา
เมื่อเห็นหลังตู้ยาเต็มไปด้วยสมุนไพรนางก็ตกตกตะลึง
ใบหน้าของนางซีดเผือดในทันที
นางเดินเข้าไป ดึงดาบและแทงไปที่ถุงผ้าและหยิบยาที่อยู่ด้านในส่งให้หลีโม่ “นี่คือยาอะไร?”
“หยูซิงฉ่าย” หลีโม่พูด
ฉินโจวพูดอย่างเย็นชา “หยูซิงฉ่ายตอนนี้ที่ตลาดไม่มีแล้ว”
“แต่ว่าที่นี่กลับมีมากมาย”
อารมณ์ที่หลากหลายส่องประกายในดวงตาของฉินโจว ครู่หนึ่ง แล้วนางก็พูดว่า “ไป!”
หลีโม่หยิบกระเป๋าขึ้นมา ฉินโจวก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาเช่นกัน ทั้งสองออกไปที่ประตู ก่อนที่ทพวกองครักษ์จะกลับมา แล้วเหาะขึ้นไปบนหลังคากระเบื้อง จากนั้นก็ลากหลีโม่กระโดดจากหลังคากระเบื้องออกไปนอกกำแพง
ทั้งสองผูกยาไว้กับม้า จากนั้นก็นำม้าออกไป
เพิ่งจะออกจากขอบเขตของสวนสัตว์หยู้ซื่อ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเกือกม้าและไฟที่ลุกโชนผ่านท้องฟ้า
ทั้งสองมองอย่างตั้งใจ และเห็นว่าฉาวจี๋ได้นำคน10กว่าคนมาขวางทางไว้
ฉาวจี๋นั่งอยู่บนหลังม้า ทหารที่อยู่ข้างๆเขาถือคบเพลิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจและภูมิใจในตนเอง
“แม่ทัพใหญ่ฉิน ไม่ได้พบกันหลายวัน คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะทำงานลักเล็กขโมยน้อย มันช่างน่าตกใจเสียจริง”
ด้วยจิตใต้สำนึกของฉินโจว นางได้ปกป้องหลีโม่ที่อยู่ด้านหลัง ด้วยสายตาที่เยือกเย็น “เจ้าตามข้ามาตลอดรึ?”
“จะว่าตามตลอดก็ไม่ใช่ เพียงแค่เริ่มจากพวกเจ้าลงจากเขา เมื่อข้ารู้ข่าว คิดว่าแม่ทัพใหญ่มีบางสิ่งที่สำคัญต้องทำแน่ๆ จึงมารอ
แม่ทัพใหญ่ที่นี่”
หลีโม่พูดอย่างเยือกเย็น “อย่ากล้าทำเช่นนั้น มีคนเช่นเจ้าชื่นชม มันทำให้ข้ารู้สึกแย่”
ฉาวจี๋หัวเราะหนักขึ้นและร่างกายของเขาก็สั่นเทา ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นและมีแสงเย็นแล่นเข้าหาหลีโม่ แล้วเขาก็พูดว่า “ฟันและปากที่แหลมคม ข้าจะตัดหัวเจ้าออกซะ ดูสิว่าปากของเจ้าจะสามารถขยับได้อีกหรือไม่”
แสงเย็นนั้นก็คือหมีดโค้ง พุ่งตรงไปที่คอของหลีโม่
ฉินโจวชักดาบเพื่อต่อต้าน เพียงได้ยินเสียง “กริ๊ง” แสงเย็นก็ตกลงพื้น ฉินโจวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และตามมาด้วยเสียง “เสี้ยหลีโม่อยู่ที่นี่อย่าไปไหน” แล้วนางก็เหาะออกไป
ร่างกายของนางเร็วมาก ดาบไม่ได้ชี้ไปทางฉางจี๋แต่กลับชี้ไปที่คนสองคนที่อยู่ข้างๆฉาวจี๋
ฉาวจี๋ยิ้มเยาะแล้วลุกขึ้นเหยียบบนหลังม้า โบกแส้ในมือแล้วโจมตีฉินโจว
หลีโม่มักจะสงสัยเกี่ยวศิลปะการต่อสู้สมัยโบราณ คนเราจะเหาะได้อย่างไร? เมื่อก่อนเคยถามไอ้เจ็ด เขาบอกว่าการฝึกฝนวิชาตัวเบาสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังภายใน นอกจากพลังภายในแล้ว ตอนฝึกซ้อมยังต้องผูกกระสอบทรายไว้ที่เท้าและหลังเพื่อปีนต้นไม้ กระโดด ฝึกอย่างช้าๆจนกว่ากล้ามเนื้อของร่างกายจะจดจำแล้วจึงคลายการฝึก
ไม่ต้องสงสัย ทักษะวิชาตัวเบาของฉินโจวนั้นดีมาก หลีโม่รู้ตอนที่นางพาหลีโม่เหาะขึ้นไป แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นเพลงดาบของฉินโจว นางก็รู้เลยว่า ฉินโจวไม่ได้เก่งเพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น แต่ยังเก่งศิลปะการต่อสู้อีกด้วย
แน่นอนว่าฉาวจี๋ก็ไม่อ่อนแอ มีคนจำนวนมากในตระกูลฉาวที่สามารขึ้นบนเวทีได้ ฉาวจี๋นั้นดีที่สุด ตระกูลฉาวถูกฮ่องเต้ปราบอยู่เสมอเพราะฉาวฮองเฮา จึงไม่สามารถใช้ความสามารถได้ ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ไม่รู้ความสามารถของตระกูลฉาว
ฉินโจวคิดว่านางสามารถจัดการฉาวจี๋ได้อย่างรวดเร็ว นางก็คิดเหมือนกับทุกคนว่าตระกูลฉาวไม่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม
แต่ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลฉาวนั้นเกินความคาดหมายของนาง
ในขณะที่ฉินโจวจัดการกับฉาวจี๋ นางก็ยังต้องรับมือกับการโจมตีขององครักษ์ด้วย นางเริ่มจะไม่มีอำนาจดูแลผู้อื่นแล้ว ดังนั้น บางคนจึงเหาะออกไปจัดการกับหลีโม่
หลีโม่จับสายเชื่อกเตาปาไว้ในมือ เห็นองครักษ์3คนเหาะมาพร้อมกับดาบ นางก็ปล่อยสายเชือกเตาปาบินไปและบินกลับมาอย่างรวดเร็วจากคอของทั้ง3คน แล้วองครักษ์ทั้ง3คนก็ล้มลงกับพื้น
ในครั้งนี้สายเชื่อกเตาปาถูกตีโดยมือที่โหดเหี้ยม หลีโม่มักจะรู้สึกว่า สายเชื่อกเตาปามีความสามารถในการรับรู้ มันอาจจะรู้ว่าคนเหล่านี้จะมาเอาชีวิตของหลีโม่ ดังนั้นมันจึงไม่มีความเมตตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม
จบแบล้วววววว...
900 ตอนแล้ว ชีวิตของหลีโม่แทบหาความสุขไม่เจอเลย แถมลูกก็ถูกคนอื่นเอาไปทิ้งอีก สงสารจับใจ...
ตะว่าไปเรื่องนี้หมุยเฟยกับฮ่องเต้เลวร้ายแบบกินกันไม่ลงนะ ทำร้ายทุกคนที่ดีกับตัวเอง แล้วแางว่าจำเป็นๆ กลับเป็นพวกอี๋เฟยซะอีกที่แย่งแยกพวกำองชัดเจนไปเลย หมุยเฟยนี่นับว่าเป็นคนที่ได้ดีจากการเนรคุณผู้คนรอบข้างโดยแท้...
ฮ่องเต้กับลู่กงกงนี่ ตอนตายคงมีกันแค่ 2 คนละนะ...
อี๋เฟยนี่คือนางฉลาดสุดละในบรรดาเมียของเต้...
ท่านซือถูเย่นใจเย็นๆจากสุราก่อนเจ้าค่ะ สนใจยัยน้องด่วนเด่วจะโดนมิใช่น้อย55555...
โธ่ๆท่านซือถูเย่น เค้าลางกลัวว่าที่ภรรยาในอนาคตมาแต่ไกล รีบซ่อนสุราเลยนะ แต่ไม่น่าจะทัน หลอกใครก็หลอกได้แต่ไม่ใช่กับแม่นางหลีโม่555555...