พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 62

บทที่ 62 กับดักของหมุยเฟย

อ๋องอานชินพึงพอใจต่อคำตอบนี้มาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เดินผ่านเข้าไปดูอ๋องเหลียง

ยามที่เขาเดินผ่านข้างกายของหลีโม่นั้น หลีโม่ยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่งอันนั้นอยู่ กลิ่นอายประเภทนี้ช่างเหมือนกับกลิ่นอายบนเรือนกายของซือถูเย้นนัก เพียงแต่เขาหลบลึกมากกว่าซือถูเย้น

ซือถูเย้นเป็นคนประเภทที่เปล่งประกายแม้จะนั่งอยู่นิ่งๆ กลิ่นอายครอบงำ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้

หลีโม่สั่นหน้าอย่างแรง เหตุใดจึงมักจะคิดถึงซือถูเย้นอยู่เสมอ?

ในใจมีอารมณ์กระสับกระส่ายบางประเภท หลีโม่พยายามจะสลัดมันออกไป ก่อนกล่าว “ท่านอ๋อง พระองค์ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”

“ข้าสามารถมองออกจากสีหน้า” อ๋องอานชินเอ่ย

หลีโม่หยิบภาพวาดจากด้านข้าง มองแก่อ๋องอานชิน “อ๋องซื่อเจิ้งให้หม่อมฉันส่งมอบแก่ท่านเจ้าค่ะ”

อ๋องอานชินยืนมือออกไปรับ บนหน้าไร้การแสดงออกทางอารมณ์ ทำเพียงกล่าวเบาๆ “อืม”

หลีโม่เห็นว่าเขาไม่คลี่ออกดู และไม่ส่งให้บ่าวผู้ติดตามด้านหลังกาย ทำเพียงถือเอาไว้ในมือตลอด ก่อนเอ่ยถาม “ท่านอ๋องไม่ดูสักหน่อย?”

แสงไฟส่องกระทบบนใบหน้าของเขาติดๆ ดับๆ ไม่คงที่ เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ดูแล้ว”

หลีโม่พรึงเพริด “ดูแล้ว?”

เขาไม่ได้เปิดออกเลยสักนิด จะดูแล้วได้อย่างไร

ใบหน้าของเขาเน้นยำอย่างจริงจัง “ใช่ ดูเรียบร้อยแล้ว”

หลีโม่เหลือบมองเขา ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

แต่เห็นชัดว่าอ๋องอานชินเองไม่ได้ต้องการแสดงความหมายใดๆ หลังจากถามสถานการณ์บางส่วน ก็จากไปแล้ว

หลีโม่นึกถึงคำของซือถูเย้น ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าอ๋องอานชินแสดงความรักลึกซึ้งต่อมารดาอย่างไร ทว่าตอนนี้ดูท่า จะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ถ้าหากเขามีความรู้สึกต่อมารดามากจริงๆ ก็ควรจะคลี่ออกดูตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว อย่างไรเสีย นี่ก็คือสิ่งที่ท่านแม่มอบแก่เขา

ก็ใช่อยู่ ใต้หล้าจะมีความรักที่ยั่งยืนจนวันตายอยู่ในโลกเสียที่ใด ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว กลัวว่าอ๋องอานชินลืมไปตั้งนานแล้ว

หลีโม่ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักมากนัก ไม่รู้ว่าความรักแบ่งเป็นกี่ประเภท

ค่ำคืนนี้ อ๋องเหลียงหลับสนิทมาก ในตอนกลางคืนตัวร้อนเล็กน้อย หลีโม่ใช้มือแตะสัมผัส ไม่ถือว่าตัวร้อนสูง ซึ่งหมายความว่าการอักเสบจะค่อยทุเลาลง

ส่วนอ๋องซื่อเจิ้งไม่ได้มาจริงๆ ด้วย จนกระทั่งถึงฟ้าสางก็ยังไม่ปรากฏ

เช้าตรู่ ฮองเฮาเสด็จมาแล้ว ออกจากวังมาจัดแจงอย่างใส่พระทัย

ฮองเฮาส่งหยางมามาติดตามข้างกายของหลีโม่ โดยตรัสว่าเป็นเพราะเย็นเอ๋อร์บาดเจ็บนางไม่สามารถให้การดูแลหลีโม่ได้ และขอให้หยางมามามาดูแลแทน อันที่จริงแล้วอยากติดตามการรักษาของหลีโม่ผ่านหยางมามาเสียมากกว่า

ก่อนออกจากวัง หมุยเฟยมาหาหลีโม่

นางจูงมือของหลีโม่เดินมายังนอกตำหนัก ก่อนกล่าว “หลีโม่ ป้ารู้ว่าเมื่อวานต้องขอโทษเจ้าแล้ว แต่ว่า เจ้าเป็นสาวน้อยที่ดีคนหนึ่ง น่าจะรู้ว่าป้าทำเช่นนี้ คือสิ่งที่ถูกบังคับมา”

หลีโม่ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของนางนั้นมีไม้เด็ดมารยาอะไร “หลีโม่ทราบ หลีโม่มิเคยโทษพระนางเลย”

หมุยเฟยกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ตัวข้าไร้หนทาง ปัจจุบันฝ่าบาทประชวรหนัก ฮองเฮามีอำนาจเบ็ดเสร็จ พวกเราแม่ลูกอาศัยอยู่ภายใต้อำนาจของนาง ราวกับว่าเป็นแหนไม่มีราก ไม่รู้ว่าจะถูกนางตัดขาดเมื่อใด โดยเฉพาะรัชทายาทมีความแข็งแกร่ง เรื่องของอ๋องเหลียงเจ้าเองก็เห็นแล้ว รัชทายาทคือพี่น้องที่ปล่อยเลยตามเลย พี่ชายร่วมท้องยังทำได้เช่นนี้ แล้วจะมีความเมตตาต่อองค์ชายสามได้อย่างไร ดังนั้นบิดาเจ้ามาเข้าพบ บอกว่าสามารถเป็นผู้สนับสนุนองค์ชายสาม บัดนั้นตัวข้าก็ร้อนรนกังวลใจ จึงตอบตกลงเขาไป ปัจจุบันมาขบคิด ก็ดูโง่เขลาสิ้นดีที่ใส่ร้ายเจ้าและมารดาของเจ้าไปเช่นนี้”

หมุยเฟยกล่าวด้วยความจริงใจ ในดวงตายังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความละอายและไม่สงบฉายเต็มไปหน้า

หลีโม่เอ่ยปลอบใจเสียงแผ่ว “สถานการณ์ของพระนาง หลีโม่เองก็เข้าใจได้ พระนางวางใจเถิด หลีโม่มิเคยตำหนิพระนาง”

หมุยเฟยปรนลมหายใจ “เช่นนั้นก็ดี”

นางเหลือบมองคนที่พลุกพล่านอยู่เบื้องหลังหลีโม่ ก่อนกล่าวถาม “วันนี้เจ้าจะออกจากวัง?”

“เจ้าค่ะ อาการของพระองค์ทรงตัวแล้ว พระนางฮองเฮาอนุญาตให้ข้าออกจากวังได้เป็นการเฉพาะ” หลีโม่กล่าว

สาวเท้าเดินผ่านตำหนักซีเวย เดินประมาณหนึ่งร้อยเมตรกว่าก็เป็นตำหนักอี๋หลาน

ตำหนักอี๋หลานปัจจุบันเป็นตำหนักพำนักของอี๋เฟย อี๋เฟยเป็นท่านแม่ขององค์ชายเจ็ดในปัจจุบัน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเรื่อยมา

หลีโม่เพิ่งมาถึงหน้าประตูตำหนักอี๋หลาน ก็เห็นองครักษ์นายหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน มองเห็นหลีโม่ จึงเอ่ย “มาได้ทันเวลาพอดี องค์ชายเจ็ดไม่รู้ว่าวิ่งไปที่ใดแล้ว เจ้ารีบเข้าไปเสาะหาสักหน่อยเร็วเข้า”

หลีโม่กล่าว “ข้าไม่ได้...”

องครักษ์ไม่รอให้นางเอ่ยจบ ก็คว้าข้อมือข้างหนึ่งของนางแล้วฉุดเข้าข้างใน “บ่นอะไร? รีบไปหาเร็วเข้า อย่าเหมือนคราวก่อนที่เล่นน้ำจนพลัดตกลงน้ำ พระนางกำลังบรรทมเที่ยง แม้นตื่นบรรทมแล้วพบว่าไม่เจอองค์ชายเจ็ด จะมีสักกี่คนที่ถูกฆ่าตาย”

เข้ามากลางตำหนักแล้ว ในตำหนักเงียบเชียบอย่างยิ่ง แม้แต่คนในวังที่คอยปรนนิบัติยังไม่ค่อยจะพบเจอสักเท่าใด

องครักษ์ผู้นั้นฉุดหลีโม่เอาไว้ หลีโม่ไม่สามารถขยับมือได้ แอบรู้สึกกังวลอย่างเงียบๆ

มาถึงลานอี๋หลานของตำหนักอี๋หลาน องครักษ์ก็พรั่งพรูวาจาอย่างโกรธแค้นใส่นาง “เจ้าเป็นผู้ใด ไฉนจึงกล้าบุกเข้าตำหนักอี๋หลานส่วนพระองค์?”

เห็นว่าหลีโม่เปลี่ยนสีหน้าโดยฉับพลัน ก็รู้ว่าตนเองติดกับแล้ว

นางปั้นหน้าขรึม มองไปรอบสารทิศ มีคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

มีเสียงสตรีที่เย็นเยียบเสียงหนึ่งลอยออกมาจากประตูที่กั้นในตำหนัก “ผู้ใดอยู่ข้างนอก”

“เรียนพระนาง ไม่ทราบว่าเป็นสาวใช้จากตำหนักใด มาแอบฟังอยู่นอกประตูนี้อย่างลับๆ ล่อๆ ถูกข้าน้อยนำตัวเข้ามา” องครักษ์เอ่ยตอบคนด้านในประตู

สตรีผู้นั้นขรึมลง เฉียบพลัน ก็กล่าวด้วยเสียงเจือกลิ่นอายเข่นฆ่า “นำลงไปก่อน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ” องครักษ์บิดมือของหลีโม่ ส่วนคนที่อยู่รอบๆ ก็รีบกรูเข้ามาอย่างว่องไว

จะออกจากวังแล้วแท้ๆ กลับติดกับอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มิใช่อุบัติเหตุแล้ว

หลีโม่นึกถึงหมุยเฟยในทันที นางจงใจมาเตือนตนเองให้ไปทูลลาฮองไทเฮาโดยเฉพาะ เพราะว่าที่นี่ นางได้วางกับดักเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม