พิษรักองค์ชายโฉมงาม นิยาย บท 650

บทที่ 650 ชัยชนะศึกยกแรก

คำถามนี้ดูช่างมีความมาดร้ายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตอบได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น

เหลียงมามาคิดอยู่ในหัวหลายตลบ คิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอย่างไรเพื่อให้หลุดจากคำตอบที่นางพูดเอาไว้ จึงพูดได้เพียงว่า “หม่อมฉันโดนใส่ร้ายเพคะ”

จากนั้น นางก็คิดอยากจะพูดอะไรเสริมขึ้น ว่าคนที่คิดทำร้ายนางนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นซุนมามา แต่ว่า เมื่อครู่จากได้วิเคราะห์ดูแล้ว นอกจาก ซุนมามา ก็ไม่มีคนอื่น ๆ อีกเพราะว่าไม่มีใครที่มีกุญแจห้องของนาง

แต่ทว่า เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว นางก็นิ่งชะงักไป ใช่แล้ว ไม่มีใครเลยที่มีกุญแจห้องของนาง นอกจากซุนมามา

ตอนที่ลั่นดาลประตูนางก็เห็น แล้วก็ไม่มีร่องรอยงัดแงะ อีกทั้งดูเหมือนว่านับตั้งแต่ที่ได้เข้ามาอยู่ในตำหนัก หลายครั้งที่ซุนมามามักจะมีข้อขัดแย้งเรื่องความเห็น ทะเลาะกันไม่รู้ตั้งกี่คราจนรู้สึกไม่สบายใจ

มันจะเป็นไปได้ไหมว่า จะเป็นเช่นที่พระชายาพูดเช่นนั้นจริง ๆ ?

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ที่ได้กลับมายังตำหนักนั้น ก็ไม่เคยสร้างความลำบากให้กับนาง แต่ก่อนที่นางสู้รบกับ หยางมามา พระชายาก็ไม่ได้เคยว่าอะไร ภายหลังอ๋องหลี่ชินกลับมา ท่านอ๋องก็เป็นคนออกหน้า

หรือว่า เดิมทีไม่ใช่พระชายาที่ทำร้ายนาง แต่พระชายาทรงทำเครื่องประดับพวกนั้นหายจริง ๆ แล้วเครื่องประดับพวกนั้น ก็โดนซุนมามาขโมยเอามาวางไว้ใต้เตียงของนางเพื่อใส่ร้ายนางกัน

หลีโม่จ้องมองที่สีหน้าที่ดูสงสัยของนาง แล้วถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหลียงมามา เจ้าก็รู้ดี ว่าใครทำร้ายเจ้า?เจ้าเพียงแค่พูดออกมา ทุกอย่างฮองไทเฮาจะเป็นผู้ตัดสินให้กับเจ้าเอง”

ในทันใดนั้นเหลียงมามาก็เงยหน้า พูดด้วยเสียงอันดังก้องว่า “ไม่ผิดแล้วเพคะ เป็นนาง ซุนมามา”

นางเห็นสายตาของหลีโม่ที่มีรอยยิ้มเล็ก ๆ จนแทบจะสังเกตไม่เห็น แต่ทว่า พอจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็กลับไม่พบ เห็นเพียงแค่นางทำสีหน้าที่ดูเสียอกเสียใจ

ได้ยินเพียงแค่นางพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าทาสชั่วร้ายผู้นี้จะมีจิตใจคิดเล่ห์เพทุบ้าน คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำร้ายคนที่ออกจากวังไปพร้อมกัน ช่างเป็นการทำลายความเชื่อพระทัยของฮองไทเฮา หลังจากที่หม่อมฉันกลับไปยังตำหนักแล้ว จะไม่มีวันอภัยให้นางเป็นแน่”

ทำไมฮองไทเฮาถึงมองไม่เห็นร่องรอยอะไร?แต่ทว่าแม้กระทั่ง คนหน้าโง่อย่างเหลียงมามายังพูดออกมาเช่นนี้ นางจะพูดอะไรได้?

นางสะกดกลั้นเอาคำพูดลงไป ในตอนนั้นก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี

ฮองเฮายิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ทำให้กระจ่างชัดก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

ซือถูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮองเฮาช่างเป็นคนสามารถกลับดำให้เป็นขาว นี่มันเรื่องเข้าใจผิดกันเสียที่ไหน?เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าคนที่ฮองไทเฮาส่งไปกำลังทำร้ายกันอยู่ลับ ๆ ถึงได้เกิดเรื่องสกปรกเช่นนี้ บ่าวรับใช้เยี่ยงซุนมามา ควรจะโบยให้ตายสิถึงจะถูก”

ฮองไทเฮายิ่งพิโรธขึ้นไปอีก จ้องมองไปทางเหลียงมามาด้วยความไม่ชอบใจเพราะความไม่ได้เรื่อง

หลีโม่ถือโอกาสพูดขึ้น “ฮองไทเฮา ซุนมามาเป็นคนที่พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้ไป พระองค์ทรงเห็นเหมาะสมว่าจะให้หม่อมฉันเป็นผู้จัดการนางเอ หรือว่าจะให้ส่งนางเข้าวังเพื่อให้ฮองไทเฮาเป็นผู้จัดการดีเพคะ?”

ฮองไทเฮาขมวดคิ้ว “นี่มัน ข้าเกรงว่าจะมีเรื่องภายในอย่างอื่น เจ้าจับนางให้กลับมา ข้าจะไต่ถามอย่างละเอียด”

ถ้าหากว่าให้เสี้ยหลีโม่เป็นคนจัดการ เกรงว่าวิญญาณของซุนมามาจะไม่มีไปเสียก่อน

หลีโม่ยิ้มน้อย ๆ “หม่อมฉันรู้ดีว่าฮองไทเฮาให้ความสำคัญต่อตำหนักอ๋องซื่อเจิ้ง ครั้งนี้ถึงได้มีพระบัญชาส่งคนให้ไปดูแลตำหนัก นับว่าเป็นพระเมตตายิ่ง เพียงแค่ว่า หม่อมฉันได้ยินมาว่าเหลียงมามาดูแลรับใช้ข้างพระวรกายมานานหลายปี ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮองไทเฮา หม่อมฉันไม่อาจจะพรากคนโปรดไปจากข้างพระวรกายได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นการไม่กตัญญูรู้คุณ ดังนั้น เหลียงมามาและมามาอีกสองคนที่ในตำหนัก หม่อมฉันจะส่งกลับคืนให้ทางพระราชวัง สำหรับเด็กสาวรับใช้อีกหลายคนนั้น ถ้าหากว่าฮองไทเฮาตัดพระทัยได้ จะทิ้งไว้ในตำหนักก็ได้ พระองค์ทรงเห็นประการใดเพคะ?”

ฮองไทเฮาโบกมือหนา พูดขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “ไม่ต้องลำบากเช่นนั้น ส่งแค่ซุนมามากลับมาก็พอ เหลียงมามาและคนที่เหลือก็ทิ้งเอาไว้ให้ดูแลตำหนัก”

“ถ้าหากว่าข้าจะมอบคนให้ตำหนักของเจ้าอยู่ดีเล่า?”ฮองไทเฮาพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย

หลีโม่เริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้น แล้วก็นึกไตร่ตรองไปสักพัก “ถ้าหากว่าฮองไทเฮาจะประทานให้จริง ๆ เช่นนั้นก็ทรงมอบกูกูหลังพระวรกายให้หม่อมฉันเถอะเพคะ ในเมื่อ กูกูพวกนี้อายุอ่อนวัย ยังอยู่ข้างพระวรกายมาไม่นานเท่าใดนัก เอากูกูพวกนี้มาแลกมามากลับไป เช่นนี้แล้ว หม่อมฉันก็ได้รับความประสงค์ดีจากฮองไทเฮา และก็ไม่ต้องไร้ซึ่งความกตัญญู ฮองไทเฮาเห็นว่าเป็นเยี่ยงไรเพคะ?”

สายตาของฮองไทเฮาดูดุดันขึ้น นัยน์ตามีเปลวไฟลุกพรึ่บ แต่ทว่า แค่เพียงเวลาอันรวดเร็ว เพลิงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบสงบลงไป เรียวนิ้วมือกำกระบอกแขนเสื้ออันใหญ่โตที่ปักลวดลายไว้อย่างงดงามเอาไว้ พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เมื่อก่อน เจ้ากับท่านอ๋องไม่ได้อยู่ในตำหนัก ข้าเกรงว่าพวกบ่าวรับใช้จะทำอะไรให้วุ่นวาย ถึงได้ส่งคนให้ไปช่วยจัดแจงแทนเจ้า บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว ก็ไม่จ้องให้ข้าต้องเป็นกังวล ในเมื่อเจ้ามีความตั้งใจอยู่แล้ว ก็ให้พวกนางกลับมาเถอะ สำหรับเจ้าเด็กพวกนี้ ถ้าหากว่าเจ้าเห็นแล้วถูกชะตา ก็เก็บเอาไว้ก็แล้วกัน”

หลีโม่พูดขึ้นด้วยความเคารพว่า “เพคะ หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”

สายตาที่เย็นชาสาดส่องสะท้อนไป หลี่โม่ไม่ต้องคิดนานก็รู้ว่าเป็นใคร คืออี๋กุ้ยเฟยนั่นเอง

สายตาของนาง มีพลังอำนาจทะลุทะลวง ราวกับต้องมองให้ทะลุปรุโปร่งถึงจะวางใจลงได้

เพียงแค่ว่า หลีโม่ไม่ได้สนใจนาง ชัยชนะในศึกยกแรกนี้ นางให้ได้วางใจไม่ เพราะว่าสถานการณ์ที่สกปรกในวังหลัง ณ บัดนี้ ที่เบื้องหลังจะต้องมีแผนร้ายที่ใหญ่มากกว่านี้แอบซ่อนอยู่เป็นแน่

และจากตอนนี้ที่ดู แผนการร้ายที่ว่านี้ ดูจะพุ่งเข้าใส่ตำหนักอ๋องซื่อเจิ้ง

ฮ่องเต้ไม่ใช่คนตามืดบอด อย่างน้อย ๆ ในหัวใจของเหล่าราษฎร เขาคือคนที่เพียบพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถ

แต่ทว่า บัดนี้เขากำลังพยายามทำเรื่องที่ผิดแผกจากทั่วไป กวนน้ำให้ขุ่น พอคิดไปแล้ว จุดประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดก็คือการเบี่ยงเบนความสนใจ

หรือบางที อาจจะแค่เพียงหาข้ออ้าง ที่จะให้คนข้างนอกไม่ต้องเข้ามาวุ่นวาย แล้วยุ่งกับเรื่องของเขาไม่ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิษรักองค์ชายโฉมงาม