พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว นิยาย บท 100

เฟิ่งชิงหัวหลับอยู่ในห้องมาตลอด รอจนตอนที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ท้องร้องออกมาเป็นเพลงผังเมืองที่ว่างเปล่าได้เลย

เฟิ่งชิงหัวหวนคิดกลับไปทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าตอนเวลากลางวันตนเองไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หลังจากใช้วิธีการตัดตัวเลือกไปแล้วก็เหลือแต่เพียงการเขียนกฎตระกูลข้อเดียวเท่านั้น

นี่มันช่างเป็นกิจกรรมที่ทั้งสิ้นเปลืองสมองและกำลังกาย อีกทั้งยังสิ้นเปลืองอายุวัฒนะด้วย

ท้องว่างเปล่าเช่นนี้นอนไม่หลับ เฟิ่งชิงหัวก็เลยต้องพลิกตัวลุกขึ้นนั่งและแอบเดินไปทางด้านห้องครัว แม้ว่าจะลับๆ ล่อๆ แต่ว่าเฟิ่งชิงหัวเคยชินกับการทำกิจกรรมในช่วงเวลากลางคืน เส้นทางที่เดินต่างก็เป็นเส้นทางมืดมิดที่หลบเลี่ยงจากองครักษ์ลาดตระเวนทั้งนั้น รับรองว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน

และในตอนที่กำลังยกมือจะผลักเข้าไปในห้องครัว ก็ได้ยินเสียงองครักษ์ดังมาจากด้านหลัง: “มีคนมุ่งหน้าไปทางห้องครัวแล้ว”

เฟิ่งชิงหัวสงสัยว่านางซ่อนตัวไปลึกลับมากแล้ว ทำไมจึงยังถูกคนพบเห็นได้อย่างไม่ทันรู้ตัว?

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็หลบซ่อนตัวเข้าไปหลังต้นไม้ที่สูงใหญ่ต้นหนึ่ง ตอนที่เพิ่งเข้ามาก็เห็นว่าด้านหลังต้นไม้นั้นมีคนแอบซ่อนไว้อยู่คนหนึ่งนานแล้ว

คนผู้นั้นกำลังจะกรีดร้องก็ถูกเฟิ่งชิงหัวเอามืออุดปากเอาไว้แน่น: “อย่าร้องตะโกนส่งเดช ร้องเรียกคนมาอับอายขายขี้หน้าไหม?”

คนที่อยู่ด้านหน้านี้ไม่ใช่คนอื่นไกลเลย แต่กลับเป็นองค์หญิงเหออานที่ถูกเฟิ่งชิงหัวใส่ร้ายไปเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง และตอนนี้ก็ได้ใช้สายตาอาฆาตอย่างรุนแรงราวคนร้ายที่ฆ่าพ่อก็ไม่ปานจ้องมายังเฟิ่งชิงหัว

ทั้งสองคนสบตาซึ่งกันและกัน รอจนคนที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ หายไปหมดแล้ว เฟิ่งชิงหัวจึงปล่อยมือออกจากองค์หญิงเหออาน ก็ได้ยินองค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยเสียงโมโหว่า: “เจ้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ที่นี่ฮะ?”

เฟิ่งชิงหัวชี้ไปยังจมูกของตนเองอย่าน่าขำ: “ข้า?”

“ไม่ใช่เจ้าจะเป็นใคร ดึกดื่นค่ำมืด ปรากฏตัวอยู่ที่นี่รับรองว่าไม่ได้หวังดีเป็นแน่!” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา: “ข้าจะไปบอกเสด็จพี่!”

ขณะที่พูดอยู่องค์หญิงเหออานก็ยืนขึ้นมาจากหลังต้นไม้เตรียมจะจากไป เพิ่งจะหันหน้าไปก็ถูกเฟิ่งชิงหัวจับไหล่ไว้แน่นแล้วให้หันกลับมา เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองมายังห่อหนึ่งที่นูนๆ ออกมาตรงบริเวณหน้าอกขององค์หญิงเหออาน เลยยื่นมือเข้าไปควักด้านในเสื้อของนางออกมา

องค์หญิงเหออานตกใจไปครู่หนึ่ง และยื่นมือไปปิดหน้าอกของตนเองเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วหลุดปากกล่าวออกมาว่า: “ทะลึ่ง!”

เฟิ่งชิงหัวเขย่าไปมาก็ได้ไก่ย่างหนึ่งชิ้นออกมาจากด้านในเสื้อของนาง จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ตอนนี้ใครกันแน่ที่ลับๆ ล่อๆ? คิดไม่ถึงว่ากล่าววิ่งมาขโมยของในจวนอ๋องของพวกเราได้ เจ้าว่าหัวขโมยจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างไรกันนะ?”

“เจ้าอย่าพูดจาส่งเดชนะ ข้าเป็นถึงองค์หญิงคนหนึ่ง ข้าจะไปขโมยได้อย่างไรกัน อันนั้นเรียกว่าหยิบเอามา! จวนอ๋องแห่งนี้ก็เป็นของเสด็จพี่ของข้า หยิบเอาของไปนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป?” องค์หญิงเหออานทำเป็นเสียงดังข่ม ก็เพียงเพื่อจะกลบเกลื่อนความละอายใจของตนเท่านั้นเอง

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าและกล่าวว่า: “อ๋อ งั้นก็ได้ งั้นข้าจะไปเรียนเสด็จพี่ของเจ้าเสียเดี๋ยวนี้เลย”

ในขณะที่พูดอยู่เฟิ่งชิงหัวก็เตรียมที่จะจากไป เหออานรีบคว้านางเอาไว้แน่น: “เจ้ากล้าเหรอ!”

เสด็จพี่มีคำสั่งห้ามไม่ให้นางทานอาหาร หากทราบว่านางวิ่งมาที่ห้องครัว เกรงว่าพรุ่งนี้ก็ยังไม่หายโกรธเลย นางไม่อยากอยู่ในสถานที่ผุพังบ้าๆ แบบนี้เต็มทนแล้วจริงๆ

เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า: “เจ้าดูละกันว่าข้ากล้าหรือเปล่า”

“รอก่อน เจ้าต้องการแบบไหนกันแน่ถึงจะทำเป็นว่าไม่ได้เห็นข้ามาก่อน?” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยการฝืนทนอย่างขบกรามกัดฟัน

เฟิ่งชิงหัวมองมายังองค์หญิงเหออานด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า: “นี่ตอนนี้เจ้ากำลังขอร้องข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากที่องค์หญิงเหออานร้องออกมาแล้วนั้นก็กลับคืนมาเป็นสีหน้าท่าทางที่ดุดันเช่นเดิม: “พอหรือยัง?”

“พอแล้วๆ ไว้พบกันใหม่นะองค์หญิง” เฟิ่งชิงหัวยิ้มอยู่แล้วก็เดินอ้อมเหออานไปทางด้านนอกต่อ

“เดี๋ยวก่อน เอาของทิ้งเอาไว้ด้วย” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาอย่างไม่ยินดีนัก นั่นเป็นสิ่งที่นางยอมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศอันสูงส่งเพื่อให้ได้มันมาเลยนะ

เฟิ่งชิงหัวกวัดแกว่งไปมาครู่หนึ่งและกล่าวว่า: “องค์หญิงไม่เคยได้ยินเหรอ? หัวขโมยต้องโทษโบย 50 ที ติดตามทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาทั้งหมด พวกนี้น่ะเหรอแน่นอนว่าต้องถูกยืดเป็นของกลางไป องค์หญิงรีบกลับไปนอนเถอะ หลับไปแล้วก็ไม่หิวแล้วล่ะ”

ในขณะที่พูดอยู่ก็ตบไปยังบ่าขององค์หญิงเหออาน และจากไปอย่างสง่าผ่าเผยมาก

องค์หญิงเหออานมองดูร่างของเฟิ่งชิงหัวที่จากไปด้วยตาปิบๆ แทบอยากจะพุ่งเข้าไปสู้ตายกับนางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ว่าพอนึกถึงท่าทางเย็นชาที่รายล้อมอยู่รอบตัวเสด็จพี่ก็กลัวจนตัวสั่นไปเลย ได้เพียงลูบท้องของตนเองไว้เท่านั้น แล้วก็ยกเท้าที่แสนจะหนักอึ้งก้าวกลับไปยังสถานที่พำนักชั่วคราวของนางอย่างยากลำบาก

ภายในห้องหนังสือ หลิวหยิ่งรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดยิบให้นายท่านของตนฟัง ในใจกลับแอบแปลกใจอยู่ว่าเมื่อไหร่กันที่นายท่านของตนเริ่มให้ความสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการถลกขนไก่เช่นนี้ในจวนอ๋องขึ้นมา

จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์จะนอน หลังจากได้ยินคำพูดของหลิวหยิ่งแล้วก็มองไปยังหลังคาที่ส่องสว่างเป็นประกายที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องอยู่นอกหน้าต่างตามความรู้สึก เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า: “ข้าว่าน่าจะต้องหางานให้นางทำเสียบ้างแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงให้นางไม่มีธุระก็เที่ยวชอบไปรังแกผู้น้อย”

หลิวหยิ่งได้ฟังก็ยิ้มขึ้นจางๆ ในใจคิดว่าที่นายท่านพูดนั้นถูกต้องที่สุดจริงๆ เพียงแต่ว่าท่านอย่าใช้สายตาท่าทางที่จริงจังเช่นนี้พูดคำพูดที่ดูปรนเปรอตามใจเช่นนี้ได้หรือไม่?

“แม้ว่าพระชายาจะมีศักดิ์สูงกว่าองค์หญิงหนึ่งรุ่น แต่ว่าอายุของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน ก็ไม่นับว่าเป็นการรังแก อย่างมากก็แค่นิสัยเข้ากันไม่ได้เท่านั้นเอง” เจตนาเดิมของหลิวหยิ่งเดิมคืออยากจะพูดแทนพระชายาสักสองสามประโยค ใครจะไปคาดคิดว่าวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงอันเคร่งขรึมของฝ่ายชายจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาเหนือศีรษะของเขาทันที

“ความหมายของเจ้าก็คือข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว