“หลอกเจ้าด้วยเงินหนึ่งล้านตำลึงอย่างนั้นหรือ ? เจ้าช่างสำคัญตัวผิดไปจริง ๆ” จ้านเป่ยเซียวทำเสียงฟึดฟัด
เฟิ่งชิงหัวหมดคำพูด : “ปะ...ปะการังนั่นข้าไม่รับเอาไว้ได้ไหม ท่านเก็บเอาไว้เองเถอะ”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนาง : “ใครใช้ให้ข้าไปชั้นเจ็ด ? แล้วใครที่เอาแต่จ้องมองปะการังนั่นอยู่ตลอดเวลา ? หากไม่ซื้อ จะรู้ได้อย่างไรว่า เจ้าะไม่แอบตัดสินในใจว่าข้านั้นเป็นคนตระหนี่ ? หากซื้อให้เจ้าแล้ว เจ้าได้เปรียบแล้วยังจะอวดฉลาดอีกหรือ ?”
“ได้ ๆ ๆ ไม่ต้องพูดให้มากความ พูดมาตามตรงจะดีกว่า เป็นผู้ชายเสียเปล่า กลับเอาแต่บ่นจุกจิก” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นด้วยความรำคาญ
จ้านเป่ยเซียวพูดว่า : “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าจะร่วมมือกันไม่ใช่หรือ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ การแบ่งกำไรสองในสิบส่วนที่เจ้าว่ามาก่อนหน้านี้ ก็สามารถทำได้ แต่จะจ่ายให้ก็ต่อเมื่อเจ้าคืนเงินหนึ่งล้านตำลึงให้ข้าครบแล้ว อีกทั้งเจ้าต้องทำสัญญาระยะเวลาสิบปีกับข้าด้วย”
“ไม่ได้ ! สิบปี นั่นไม่เท่ากับว่าข้าขายตัวเองให้กับท่านหรอกหรือ ? แต่งงานกับท่านก็นับว่าโชคร้ายแล้ว ยังจะต้องทำงานให้ท่านอีก ข้าไม่ทำหรอกนะ ข้ามีอิสระ อยากจะไปเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น”
“หากเจ้าจะเปลี่ยนรายการอาหารให้กับหอไล่ตามเมฆา ก็จำต้องรู้ข้อมูลบางอย่างของหอไล่ตามเมฆา หากเจ้าไม่เขียนสัญญา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่นำรูปแบบการบริหารหอไล่ตามเมฆาของข้า ไปขายให้กับคนอื่น ?”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมจู่ ๆ ตนเองถึงกลายเป็นหนี้ไปได้ ?
อีกทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ที่นางไม่เต็มใจอีกด้วย
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงหัวก็พูดว่า : “สามเดือน มากกว่านี้ไม่ได้ ภายหลังข้าสามารถไม่เข้าร่วมการบริหารร้านของพวกท่านได้ แค่ช่วยเหลืออยู่ในครัวเท่านั้น”
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังเสี่ยงอยู่ดี แปดปี”
“ครึ่งปี มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ! พวกท่านมีรูปแบบการบริหารร้านที่ยอดเยี่ยมอะไรนัก อย่างมากก็แค่ใช้ชื่อเสียงอ๋องเจ็ดของท่านเท่านั้น”
“เจ้าไม่เข้าร่วม ย่อมไม่รู้ว่าหอไล่ตามเมฆามีรูปแบบอย่างไร เจ็ดปี”
“เก้าเดือน !”
“หกปี !”
“จ้านเป่ยเซียว ทำไมท่านถึงเป็นคนใจแคบเช่นนี้ ค่อย ๆ ลดลงทีละปี คำสุดท้าย หนึ่งปี !”
“ข้าค่อย ๆ ลดทีละปี เจ้าล่ะ ค่อย ๆ เพิ่มทีละสามเดือนไม่ใจแคบหรอกหรืออย่างไร” จ้านเป่ยเซียวพูดดูถูก
“สองปี ! นี่เป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว ! จะเพิ่มอีกไม่ได้แล้ว ท่านจะทำก็ทำ อย่างมากข้าก็แค่ไปทำสัญญากับภัตตาคารอื่น หากข้าไม่มีเงิน ดูซิว่าท่านจะทำอะไรกับข้าได้ !” เฟิ่งชิงหัวเริ่มเล่นลูกไม้
จ้านเป่ยเซียวครุ่นคิด นับว่าเวลากำลังพอเหมาะ จึงพยักหน้า จากนั้นจึงหาคนมาเร่งสัญญา แล้วให้เฟิ่งชิงหัวลงนามทันที
เฟิ่งชิงหัวกำลังจะเขียนชื่อของหนานกงเยว่ลั่วลงไป แต่กลับถูกชายหนุ่มห้ามเอาไว้
“ช้าก่อน ไม่ต้องเขียนชื่อ เจ้าจงเขียนว่าพระชายาอ๋องเจ็ด และประทับลายนิ้วมือ” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยแววตาลึกซึ้ง
ปลายพู่กันของเฟิ่งชิงหัวหยุดชะงัก : “มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ ?”
“ในเมื่อไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน เช่นนั้นเจ้าก็จงทำตามที่ข้าว่า”
เฟิ่งชิงหัวกัดฟัน เม้มปาก จากนั้นจึงเขียนชื่อพระชายาอ๋องเจ็ด แล้วประทับรอยนิ้วมือลงไป จู่ ๆ หัวใจก็เต้นระรัว รู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิด แต่คิดไม่ออกถึงสิ่งผิดปกติ
อย่างไรเสีย จ้านเป่ยเซียวก็ไม่รู้ฐานะที่แท้จริง ถึงตอนนั้นนางแค่ปลอมตัวตามใจชอบ เขาคิดจะตามหานางก็คงหาไม่เจอแล้ว
“มา มาแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดจบ ก็นำผ้าเช็ดมือวางกลับลงบนชั้นในสภาพเดิมและครั้งนี้ก็ค่อย ๆ เดินออกมาด้านนอกอย่างระมัดระวัง
เฟิ่งชิงหัวไม่เข้าใกล้ที่ของจ้านเป่ยเซียว ทำเพียงหันหลังให้เขา แล้วมองไปทางประตู : “นี่ก็สายมากแล้ว กลับกันเถอะ”
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้น แล้วกลับไปนั่งบนรถเข็น จากนั้นจึงค่อย ๆ เคลื่อนที่ และทั้งสองคนก็มาถึงด้านข้างลิฟต์
ทันใดนั้น จ้านเป่ยเซียวก็กุมมือของเฟิ่งชิงหัวทางด้านหลัง แล้วนำมาวางไว้ที่ปลายจมูกของตนเอง : “หอมจริง ๆ ที่แท้เจ้าก็ชอบใช้น้ำชนิดนี้ล้างมือนี่เอง เช่นนั้น...”
เฟิ่งชิงหัวเพิ่งตั้งสติขึ้นมาได้ จึงรีบดึงมือของตนเองกลับทันที แล้วรีบพูดว่า : “ไม่ชอบ ไม่ชอบเลยสักนิด ข้าไม่ชอบน้ำที่มีกลิ่นหอมสักนิด รีบไปเร็วเข้า กลับไปแล้วต้องล้างอีกรอบถึงจะดี”
จ้านเป่ยซียวมองดูสีหน้าของนางแล้วขมวดคิ้ว : “เจ้ากังวลอะไร ?”
“ข้าดูกังวลหรือ ? อ้อ ? คงจะคิดถึงบ้านมากแน่ ๆ ใจที่คิดอยากจะกลับนั้นคงแรงกล้าเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกไป เหอะๆ” เฟิ่งชิงหัวพูดพลางหัวเราะ จากนั้นจึงนำมือทั้งสองข้างไพล่หลังโดยไม่รู้ตัว
หลังจากออกมาจากชั้นหนึ่งและขึ้นรถม้าแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าตนเองนั้นเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ ที่แอบได้กลิ่นอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมาตลอด ในขณะที่อยู่บนรถม้า
สายตาของเฟิ่งชิงหัวแอบเหลือบมองไปยังจ้านเป่ยเซียว เมื่อเห็นชายหนุ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าไม่ได้สนใจ จึงค่อย ๆ ถอนหายใจเบา ๆ
รถม้าหยุดลงที่จวนอ๋อง คนที่เดินเข้ามาเปิดม่านคือหลิวหยิ่ง เฟิ่งชิงหัวกระแอมเบา ๆ หนึ่งครั้งแล้วลงจากรถม้า ขณะที่เตรียมจะเข้าจวนนั้น ก็ได้ยินเสียงของจ้านเป่ยเซียวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง : “หลังจากนี้ให้พวกเขาตื่นตัวสักหน่อย หากปล่อยให้พระชายาออกมาจากจวนได้โดยไม่ตั้งใจอีก ข้าจะลงโทษอย่างหนัก”
เฟิ่งชิงหัวหันหลังกลับทันที : “ท่านอย่าพูดจาประชดประชันไปหน่อยเลย คำพูดนี้ของท่าน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังแอบหลอกด่าข้าอยู่ !”
จ้านเป่ยเซียวหันมองนาง แล้วพูดขึ้นว่า : “หลังจากนี้จึงจะเป็นสิ่งที่พูดกับเจ้า วันนี้ถือว่าแล้วไป แต่ถ้าหากมีคราวหน้า จะหักขาทิ้งเสีย”
“เช่นนั้นท่านก็หักทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ จะได้ให้ทุกคนเห็นว่า พระชายาอ๋องเจ็ดและอ๋องเจ็ดช่างเป็นคู่รักที่น่าเวทนา แม้กระทั่งรถเข็นก็ต้องนั่งด้วยกัน !”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...