หนานกงจี๋จากไปด้วยความโกรธ โกรธจนลืมว่าท่านอ๋องเจ็ดยังอยู่ที่นี่ด้วย
เฟิ่งชิงหัวยักไหล่ไปทางจ้านเป่ยเซียว: “ทำให้ท่านไม่เป็นที่ชื่นชอบพร้อมกับข้าไปด้วยเลย”
“อืม” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
มือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวกอดอกเอาไว้ ขาข้างหนึ่งดันเอาไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วกดร่างกายไปด้านหลังเล็กน้อย เลิกคิ้วแล้วมองไปทางจ้านเป่ยเซียว: “ชมการแสดงอย่างเมามันเลยใช่ไหม?”
สายตาของจ้านเป่ยเซียวหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เฟิ่งชิงหัวกลับยื่นมือมาจับแก้มเอาไว้อย่างสะท้อนกลับ นึกถึงผลงานเมื่อครู่ของคนคนนี้ อดที่จะจ้องมองจ้านเป่ยเซียวครู่หนึ่งไม่ได้
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการกระทำของนางเลย ยังคงมองพิจารณานางด้วยสายตาเคร่งขรึม ราวกับว่าต้องการจะมองให้เห็นจิตวิญญาณของนางผ่านใบหน้านี้ให้ชัดเจน
“ท่านมองดูข้าตลอดทำไม?” เฟิ่งชิงหัวถูกจ้านเป่ยเซียวจ้องมองจนกังวลอย่างมาก อดที่กล่าวถามขึ้นมาไม่ได้
“เดิมทีเจ้าแค่คิดจะสั่งสอนนางเท่านั้น เหตุใดตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ” เสียงที่ทุ้มต่ำของจ้านเป่ยเซียวแฝงไปด้วยความสงสัย
เฟิ่งชิงหัวย่นจมูกเล็กน้อย: “เรื่องนี้หรือ เดิมทีข้าคิดว่านางก็แค่อาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่งเท่านั้น แต่ว่าต่อมาข้าพบว่า นางโหดมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ต่อกรกับคนเช่นนี้ ย่อมต้องตัดกำลังเสริมของนางก่อน ให้นางไม่สามารถกระโดดโลดเต้นขึ้นมาได้”
“ยุ่งยาก” จ้านเป่ยเซียวกล่าวขึ้นมาอย่างดูหมิ่น
ในเมื่อรู้สึกภัยคุกคาม ก็ฆ่าทิ้งไปเลยโดยตรงก็พอ ทำไมจะต้องไปสิ้นเปลืองความคิดขนาดนั้นด้วย
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “บางทีในสายตาท่านชีวิตคนอาจจะต่ำต้อย แต่ข้ากลับเชื่อว่าทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ตอนนี้ข้าได้เปรียบในเรื่องจังหวะเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม กลับไม่ต้องการจะกำจัดให้สิ้นซาก”
“ความใจอ่อนของอิสตรี” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเย้ยหยัน
“ใช่ๆๆ ข้ามันก็แค่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น ท่านอ๋องท่านคิดอุบายวางแผนการรบคงได้แล้วใช่ไหม เช่นนั้นข้าเตรียมจะไปดูการแสดง ท่านจะไปพร้อมกันกับข้าหรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวพูดไป กระตุกมุมปากไปยังภูเขาเทียมที่แอบฟังกันก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้เขาย่อมได้ยินแผนการของแม่ลูกคู่นั้นอยู่แล้ว เห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงแต่ไม่กลัวแถมยังทำท่าทางมีความสุขมากอีก นิ้วมือเคาะอยู่บนที่วางแขนแล้วกล่าวว่า: “ฆ่าเวลาก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่อย่าคิดว่าข้าจะช่วยเจ้านะ”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม: “ท่านอ๋องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ทั้งสองตกลงกันได้อย่างง่ายดาย มุ่งหน้าตรงไปยังที่พักเดิมของหนานกงเยว่ลั่ว
เรือนว่านเยว่ที่หนานกงเยว่ลั่วพำนักคือสถานที่ทำเลดีที่มีสภาพแวดล้อมคอยเอื้ออำนวยแห่งหนึ่งในจวนเฉิงเซี่ยง ที่นี่มีสถาปัตยกรรมที่วิจิตรงดงาม ศาลาพักผ่อนหย่อนใจ หญ้าหนึ่งกอต้นไม้หนึ่งต้นหนานกงเยว่ลั่วล้วนเป็นคนใช้ใจดูแลทั้งนั้น
แต่ว่าหลังจากที่นางแต่งงานแล้วที่แห่งก็ถูกหนานกงเยว่หลีครอบครอง ถึงแม้จะไม่ได้ย้ายเข้ามาทันทีเพราะอาการบาดเจ็บ แต่กลับเปลี่ยนป้ายชื่อตรงหน้าประตูลานไปก่อนแล้ว เปลี่ยนเป็นเรือนเฟิงเยว่
ตั้งมาจากชื่อจ้านถิงเฟิงกับหนานกงเยว่หลี ความคิดนี้ ใครๆก็ดูออก
เฟิ่งชิงหัวไม่แม้แต่จะมอง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อกวาดป้ายชื่อที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ลงมาบนพื้น ก้าวข้ามเข้าไปในลาน
เมื่อเข้าไปในห้อง เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “กระท่อมซอมซ่อ ท่านอ๋องพอถูไถนั่งไปก่อนเถอะ”
ใครจะรู้ว่า ทันทีที่สิ้นเสียงลง หน้าประตูอยู่ๆก็มีองครักษ์สองคนเข้ามากลางอากาศ
คนหนึ่งยกชุดน้ำชา อีกคนถือหนังสือหลายเล่มเอาไว้อยู่ในมือ
ในห้องมีกลิ่นหอมชาจางๆลอยออกมาอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งชิงหัวมือเท้าคางชมการแสดงศิลปะการชงชาที่เป็นธรรมชาติไม่ถูกจำกัดขององครักษ์คนนั้นเสียเลย แทบอยากจะปรบมือชื่นชม
“เช่นนั้นจะถือเป็นผู้ที่ตามจีบแบบไหนกัน” จ้านเป่ยเซียวเยาะเย้ย
เฟิ่งชิงหัวมองไปทางจ้านเป่ยเซียว กล่าวขึ้นมาอย่างขบขัน: “จะต้องสารภาพก่อนถึงจะถือว่าเป็นผู้ตามจีบหรือ เขามอบเพลงใหม่ให้ข้าแทบจะทุกวัน เว้นสองวันก็รวบรวมทำนองเพลงมาให้ข้าอีก ความร้อนแรงในดวงตาคู่นั้นแทบจะแผดเผาข้าจนละลาย นี่ยังไม่ถือว่าตามจีบข้าอีกหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเย็นชา: “บางทีเจ้าอาจจะคิดมากเกินไปล่ะมั้ง”
เฟิ่งชิงหัวไม่ได้พูดอะไรอีก เรื่องของอู๋หยาคนนี้มีไม่น้อยที่นางก็ฟังมาอีกที ยังมีสองครั้งที่นางแอบได้ยินตอนที่นอนหลับอยู่บนต้นไม้ ถึงแม้คนคนนั้นจะพูดอย่างมีนัยแอบแฝง แต่นางในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบันจะมองความในใจของเขาไม่ออกได้อย่างไร
แต่ว่าในสายตาของหนานกงเยว่ลั่วมีเพียงจ้านถิงเฟิงอยู่เต็มหัวใจ ไหนเลยจะสังเกตเห็นว่าคนอื่นมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับตัวเองหรือไม่
ไม่ช้า นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ เฟิ่งชิงหัวริเริ่มลุกขึ้นเดินออกไปด้วยตัวเอง ยืนอยู่ที่หน้าประตูมองไปทางคนที่มา
นักเล่นพิณอู๋หยาเห็นนางก็ยืนอยู่ในลานทันที ในสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ลึกซึ้ง: “เยว่ลั่ว”
“อาจารย์อู๋หยา ตอนนี้ท่านควรจะเรียกข้าว่าพระชายาเจ็ดแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าว การแสดงออกทางสีหน้าจริงจัง
“เยว่ลั่ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยากจะแต่งงานกับท่านอ๋องเจ็ดด้วยใจจริง เจ้าไปกับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปบ้านเกิดของข้า ไปในที่ที่ไม่มีคนรู้จักเจ้า” อู๋หยากล่าวด้วยความจริงใจ
“อาจารย์อู๋หยา ท่านผิดแล้ว ข้าอยากแต่งด้วยใจจริง” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แสดงออกทางของเฟิ่งชิงหัวกลับหดหู่ ตอนที่พูดคำนี้ หางตาก็เหล่ไปทางหนานกงเยว่หลีที่หลบอยู่ในที่ลับไปพร้อมกัน
บอกว่าบาดเจ็บสาหัสลุกไม่ไหว ตอนที่แอบฟังกลับว่องไวเชียว
“เยว่ลั่ว เจ้าอย่าหลอกข้าเลย” อู๋หยากล่าวขึ้นมาด้วยความทุกข์ทรมาน: “ข้ารู้เรื่องที่ท่านอ๋องเจ็ดเป็นโรคที่ไม่อาจเปิดเผยแล้ว เจ้าอยู่กับเขาต้องไม่มีความสุขอย่างแน่นอน”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าหลังจากที่อู๋หยาพูดคำนี้จบอุณหภูมิภายในห้องด้านหลังของตนเองลดลงไปจนถึงจุดเยือกแข็ง ขณะเดียวกันก็มีใบมีดน้ำแข็งสองเล่มแทงมาทางด้านหลังของนางอย่างแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...