จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัว แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ร่างกายของข้าข้ารู้ดีที่สุด ยังเดินต่อได้อีก”
เฟิ่งชิงหัวพูดว่า : “ข้าเป็นหมอ ร่างกายของท่านเป็นเช่นไร ข้าย่อมรู้ดีกว่าท่าน หากไม่อยากนั่งนิ่งไปตลอดชีวิต เชื่อที่ข้าพูดจะเป็นการดีที่สุด”
จ้านเป่ยเซียวยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้เข็นรถเข้ามาถึงตัวเขานานแล้ว
จ้านเป่ยเซียวหันมองหลิวหยิ่งด้วยสายตาเย็นชา : “ข้าชักสงสัยว่า ตอนนี้เจ้าเป็นคนของใครกันแน่”
หลิวหยิ่งรีบอธิบายอย่างร้อนตัวว่า : “หม่อมฉันเป็นคนของนายท่านอย่างแน่นอน” เพียงแต่ เมื่อครู่ตอนพระชายาออกคำสั่งกับเขา เขาก็ปฏิบัติตามโดยไม่รู้ตัว เมื่อตั้งสติกลับมาได้ มือของเขาก็เข็นรถเข้ามาถึงแล้ว เขาแสดงออกว่ารู้สึกงุนงงกับเรื่องนี้ไม่น้อย
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว : “ของท่านของท่าน อะไร ๆ ก็ของท่าน แต่ท่านต้องมีชีวิตอยู่ จึงจะเป็นของท่านได้ หากท่านตายไปแล้ว ในฐานะที่เป็นพระชายาของท่าน จวนอ๋องอันยิ่งใหญ่นี้ของท่าน ก็จะตกเป็นของข้าทั้งหมด”
ขณะที่พูด ก็ประคองจ้านเป่ยเซียวลงนั่งบนรถเข็น และสุดท้ายก็เข็นเข้าไป
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร แต่หันไปโบกมือกับหลิวหยิ่ง หลิวหยิ่งเข้าใจความหมาย จึงรอให้ทั้งสองเดินลับสายตาไปแล้ว ก็ตรงกลับไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านหน้าประตูจวนทันที จากนั้นจึงใช้กระบี่สังหารผู้คุมที่ขับรถม้าคนนั้น
ผู้คุมผู้นั้นถูกฆ่าตาย โดยที่ยังไม่ทันตั้งสติจากความตกใจ ที่เห็นอ๋องเจ็ดที่ร่ำลือกันว่าเป็นคนพิการไม่อาจเดินได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ กลับยืนขึ้นมาได้
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก เฟิ่งชิงหัวเข็นจ้านเป่ยเซียวไปจนถึงห้องแล้วก็คิดจะจากไป
“ช้าก่อน” จ้านเป่ยเซียวตั้งสติขึ้นมาได้ หน้ากากหยกขาวนั้น ส่งเสริมให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น ชุดสีดำของเขาก็ช่วยส่งเสริมให้เขาดูสง่างามและมีเกียรติยิ่งขึ้น ช่างดูราวกับเทพบุตรจริง ๆ
เฟิ่งชิงหัวหันกลับไปมองเขา : “มีเรื่องอะไรอีกหรือ ?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?” จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่ภายใต้แสงตะเกียง และจ้องมองนางอย่างเย็นชา : “จากการสืบรายงานมาว่า บุตรสาวคนที่สองของหนานกงจี๋นั้นขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่เอาไหน มักถูกบรรดาพี่น้องรังแกอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือ เจ้านั้นใจกล้า เป็นทั้งวิชาแพทย์และวรยุทธ์ อีกทั้งวรยุทธ์ก็เข้มแข็ง ส่วนที่น้องสองคนนั้นของเจ้า ตอนนี้ก็ไม่มีใครพบจุดจบที่ดี”
เฟิ่งชิงหัวถูกสงสัยแต่กลับไม่ร้อนตัวแม้แต่น้อย นางหัวเราะแล้วพูดว่า : “ท่านอ๋องไม่เคยได้ยินเรื่องวิชาฟื้นคืนชีพหรือเพคะ ?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฟิ่งชิงหัวคิดในใจ ท่านต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน หากท่านเคยได้ยินมาก่อน ข้ายังจะหลอกลวงต่อไปได้อย่างไร
เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจแล้วพูดว่า : “เฮ้อ ที่จริงแล้ว เรื่องนี้คงต้องพูดกันยาว......”
“เช่นนั้นก็สรุปมาสิ” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยความรำคาญ
“อ้อ หากให้สรุปก็คือ ร่างกายของข้าเป็นของหนานกงเยว่ลั่วจริง ข้าเสียชีวิตตอนอายุ 25 ปี จากนั้นจึงกลับมาเกิดใหม่ในปัจจุบัน ภายใต้การรู้แจ้งทำให้ข้าเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เพื่อยืนยันในเรื่องที่แต่งขึ้นมานั้นให้สมจริง
“กลับมาเกิดใหม่ ? เช่นนั้นเจ้าก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตอย่างนั้นหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“ทำนองนั้นเพคะ แต่ตอนนั้นหม่อมฉันไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาดูเลิกภายนอกมากนัก จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องภายนอกสักเท่าไร”
“เช่นนั้นอย่างน้อยเจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าตายอย่างไรนะ ?”
“เอ่อ ดื่มน้ำแล้วสำลักน้ำตายเพคะ”
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว จากนั้นจึงหัวเราะเยาะ : “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าหรือ ?”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ : “หากท่านไม่เชื่อข้าเองก็จนปัญญา ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้นิสัยของข้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ก็เป็นความจริงที่อาจปฏิเสธได้ ข้าคงไม่อาจพูดว่า เพื่อที่จะให้ได้แต่งงานกับท่าน ข้าจึงปลอมตัวมาหรอกนะ”
“เช่นนี้ก็พอจะดูน่าเชื่อถือหน่อย”
“......” นางลืมไปแล้วว่า คนผู้นี้เป็นพวกหลงตัวเอง
“เจ้าเป็นใคร หรือว่าเจ้าเคยเป็นใครมาก่อน ตัวข้าอาจไม่สนใจ ไม่ถามไถ่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในที่ของข้าแล้ว เช่นนั้น หากเจ้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็เป็นได้เพียงศัตรู”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงหัวอย่างลึกซึ้ง
เฟิ่งชิงหัวหันหลังกลับ แล้วรีบเดินจากไปทันที เรียกได้ว่าหนีแทบไม่ทัน
เมื่อกลับถึงห้อง เฟิ่งชิงหัวก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จึงได้ยกมือขึ้นมา แล้วมองดูเข็มเงินที่เปื้อนไปด้วยเลือดของชายหนุ่ม
ด้านนอกท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามา แสงที่ส่องสลัวเข้ามา สะท้อนกับเลือดที่อยู่ในมือ
“นายหญิง” ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ คุกเข่าลงด้านนอกประตูท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิท
เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับพักใหญ่ เงาดำนั้นก็ผงะไป จากนั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดอ่อน ๆ ลอยคลุ้งมา : “นายหญิง ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ ?”
“ไม่ใช่เลือดของข้า” ความผิดปกติในแววตาของเฟิ่งชิงหัวจางลง จนสุดท้ายกลับมาเป็นปกติ
คนผู้นั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่คนป่วย สิ่งที่เขาพูด ทำไมต้องไปสนใจด้วย
“ได้ข่าวมาแล้วหรือ ?” เฟิ่งชิงหัวพูด
“ยังขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยรู้เข้าโดยบังเอิญว่า ฮูหยินเฉิงเซี่ยงผู้ที่ซื้อหอโลหิตเงา ต้องการลอบสังหารท่าน”
“หอโลหิตเงา ?”
“ท่านอยู่บนเขามานาน จึงมีบางอย่างที่ยังไม่รู้ หลายปีมานี้ หอโลหิตเงาคือหนึ่งในกลุ่มนักฆ่าที่เติบโตขึ้นในยุทธภพ หลายปีมานี้ไม่เคยล้มเหลว กลุ่มของพวกเขาแบ่งออกเป็นปุถุชนสังหาร พสุธาสังหารรวมไปถึงอัมพรสังหารระดับยิ่งสูง ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ฮูหยินเฉิงเซี่ยงจ่ายเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อจ้างนักฆ่าระดับพสุธาสังหารสองคน”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มมุมปาก : “ในเมื่อพวกเขาอยากสนุก พวกเราก็มาเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ พวกหางแถวพวกนั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของนายหญิงได้อย่างไร” เงาดำเอ่ยอย่างเคารพ
“อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้พวกเขามา ให้ข้าได้เห็นหน่อยซิว่า พสุธาสังหารของหอโลหิตเงา มีฝีมืออยู่ในระดับไหนกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...