ในเย็นของวันนั้นเองขณะที่ยี่หวา วายุ และเรนจิกำลังนั่งทานอาหารกันสามคนอยู่ ก็ได้ยินเสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนที่สี่ดังเข้ามาเสียก่อน
“พี่ใหญ่!!!”
ยี่หวาที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงัก เพราะไม่คิดว่าบ้านหลังนี้จะมีใครมาอีก แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเยอะก็เหมือนจะรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนั้น จึงหันไปถามวายุ “ใช่น้องชายคุณหรือเปล่าคะ”
“อืม” วายุตอบแค่นั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ยังคงตักข้าวเข้าปากเช่นเดิม ส่วนเรนจิเองก็ไม่ได้สนใจอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วจึงยังคงนั่งกินข้าวเงียบๆ ต่อไป
จนในที่สุดธาราธรก็เดินเข้ามาถึงห้องครัว พอได้เห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรง! นี่มันภาพของครอบครัวสุขสันต์มีพ่อแม่ลูกกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ แล้วถ้าเกิดว่าเขายังอยู่ที่นี่ต่อไปก็อาจจะกลายเป็นส่วนเกินอย่างแท้จริง
แต่แล้วยังไง!
เพราะทุกทีเขาก็เป็นธาตุอากาศอยู่แล้ว ถึงอยู่ต่อก็ไม่มีใครสนใจเขาอยู่แล้ว แถมอาหารบนโต๊ะตรงหน้าก็ดูจะเย้ายวนใจเป็นพิเศษ อย่างน้อยๆ ก็ขออยู่เป็นธาตุอากาศแลกกับอาหารตรงหน้าแล้วกัน
ไม่พูดพร่ำทำเพลงธาราธรเดินไปตักข้าวและมานั่งข้างวายุทันทีโดยที่ยังไม่มีใครเชิญ “ไม่คิดว่าจะได้เจอยี่หวาที่นี่ ถึงว่าทำไมพี่กับเรนย้ายออกมาอยู่ที่นี่”
เพราะก่อนหน้านี้ธาราธรเพิ่งสืบหาข้อมูลเจ้าของแบรนด์เฮอเซนได้ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนใกล้ตัวเสียอย่างนั้น ก็เลยตั้งใจว่าจะมาบอกวายุ แต่พอไปถึงที่บ้านใหญ่คุณลุงกลับบอกว่าวายุย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนานแล้ว ดังนั้นสถานที่ที่พี่ชายเขาจะย้ายมาอยู่ก็ต้องเป็นที่นี่อย่างแน่นอน
“รุ่นพี่สวัสดีค่ะ” ยี่หวาที่เพิ่งได้สติเอ่ยทักทาย เพราะก่อนหน้านี้เธอยังงุนงงกับการกระทำของธาราธรอยู่ ส่วนเหตุผลที่ยี่หวาเรียกธาราธรว่ารุ่นพี่ เพราะก่อนหน้านี้เดวิลเล่าให้เธอฟังแล้วว่าธาราธรเป็นรุ่นพี่ของพวกเธอทั้งสมัยมัธยมและมหาวิทยาลัย
ธาราธรที่ได้ยินเสียงทักทายจากยี่หวาก็ยิ้มแก้มปริ เพราะคิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่เห็นเขาเป็นธาตุอากาศเหมือนสองพ่อลูกคู่นี้ “ดีๆ กับข้าวนี่เธอเป็นคนทำเองใช่ไหม เพราะฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอก็ทำอาหารเอง”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นฉันไม่เกรงใจล่ะนะ อาหารมื้อนี้ขอฝากท้องด้วยแล้วกัน”
ยี่หวาหันไปมองวายุและเรนจิที่ยังคงนั่งทานข้าวอย่างไม่สนใจเช่นเดิม ก็ได้แต่กระวนกระวายในใจ นี่พวกเขาจะไม่สนใจผู้ชายคนนี้หน่อยเหรอ สรุปว่าเธอคงต้องเป็นคนพูดเองสินะ “ตามสบายเลยค่ะ ฉันทำไว้เยอะอยู่”
เมื่อได้รับอนุญาตธาราธรไม่รอช้ารีบตักข้าวเข้าปาก “หืม? เหมือนว่ารสชาติจะอร่อยกว่าเมื่อก่อนอีกนะ เธอนี่สุดยอดจริงๆ ทำไมถึงทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ เป็นลาภปากของฉันจริงๆ”
ดูเหมือนว่าต่อไปเขาจะได้ที่สิงสถิตใหม่แล้วสิ…
“ขอบคุณที่ชอบค่ะ”
“จริงสิ! เธอนี่ร้ายกาจไม่เบาเลยนะ เป็นถึงเจ้าของแบรนด์เฮอเซนแต่กลับปิดเงียบแบบนี้ ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย”
ทันทีที่ธาราธรพูดจบยี่หวาก็หันไปมองหน้าวายุอย่างสงสัย ซึ่งเขาก็ยักไหล่เบาๆ เป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกันเขาไม่ได้เป็นคนบอก
“รุ่นพี่รู้ได้ยังไงคะ”
“มีอะไรที่ฉันต้องการรู้แล้วจะไม่รู้บ้าง ข้อมูลแค่นี้หาแป๊บเดียวก็เจอแล้ว จะว่าไปเหมือนเป็นพรหมลิขิตเลยเนอะที่อยู่ๆ เจ้าของแบรนด์ก็กลายเป็นเธอ” แต่ถึงเขาจะพูดจบปฏิกิริยาของวายุก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม “นี่พี่จะไม่ตกใจหน่อยเหรอ”
ยี่หวาที่เป็นคนชอบสังเกตอยู่แล้วจึงรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่นั่งตรงข้ามกำลังต้องการอะไร ดังนั้นเธอจึงใช้ช้อนกลางตักหมูใส่ในจานให้ธาราธร แต่เพียงแค่หมูชิ้นนั้นร่วงลงสู่จานเขาสองพ่อลูกก็ส่งสายตาอาฆาตมาให้เขาทันที ธาราธรได้แต่คร่ำครวญในใจ…
ยี่หวาเธอไม่ต้องทำดีกับทุกคนก็ได้!
เธอมันร้าย! ตั้งใจจะฆ่าเขาให้ตายทางอ้อมใช่ไหม!
ใครก็ได้ช่วยด้วย! เขาควรจะทำยังไงกับหมูชิ้นนี้ดี…
เพราะถ้าเขาตักเข้าปากมีหวังได้เกิดสงครามแน่ๆ แต่ถ้าให้เรนจิพี่ชายเขาก็จะต้องโกรธมาก ส่วนถ้าให้พี่เขามีหวังชาตินี้ทั้งชาติก็คงจะไม่ได้คุยกับหลานอีก
ยี่หวารับรู้ได้ถึงแรงกดดันบางอย่างจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
วายุและเรนจิรีบปรับสีหน้าให้กลับไปเป็นปกติเช่นเดิม ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวกันต่อ ธาราธรที่เห็นว่าสองพ่อลูกไม่ได้สนใจเขาแล้วก็ตักหมูชิ้นนั้นขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปในปาก เขาก็รับรู้ได้ถึงสายตาอาฆาตอีกแล้ว!
สรุปธาราธรวางหมูชิ้นนั้นลง ก่อนจะตัดครึ่งแล้วส่งให้วายุกับเรนจิคนละครึ่งชิ้น “หมูในจานพี่กับเรนหมดพอดีเลย งั้นเอาของผมไปก็ได้”
เมื่อได้หมูชิ้นนั้นมาอยู่ในจานแม้จะเพียงแค่ครึ่งชิ้น แต่สีหน้าวายุและเรนจิสีก็ดูดีขึ้นมาในทันที
ธาราธรถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะส่งสายตาดุดันไปให้ยี่หวา ซึ่งเธอก็เกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว ไม่คิดว่าจะเกิดศึกชิงหมูขึ้นเพราะเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม