สำหรับการพิจารณาคดีได้กำหนดไว้ภายในเวลาสองวันหลังจากนี้
เฉียวเซินเดินทางไปที่ศูนย์กักกันหลายครั้งในช่วงสองวันที่ผ่านมา คำพูดของเขาค่อนข้างชัดเจน เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคือการสู้คดีที่รัดกุมตอนอยู่ในศาล ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมามันจะเปล่าประโยชน์
วันนี้เซิ่งอันหรานเพิ่งเสร็จจากการไปเข้ารับฟังการประชุมของสถานกักในตอนเช้า เธอกำลังเดินตามฝูงชนไปที่โรงอาหาร แต่จู่ๆเสี่ยวฟางซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอก็หยุดเธอไว้
เธอถูกดึงเข้าไปในห้องน้ำตรงโถงทางเดิน ใบหน้าขาวซีดของเซียวฟางแดงก่ำขึ้น เสี่ยวฟางไม่ได้พูดอะไรนอกจากยัดผ้าเช็ดหน้าใส่ไว้ในมือของเธอ
ผ้าเช็ดหน้าค่อนข้างหนัก เธอไม่รู้ว่ามีอะไรถูกห่ออยู่ในนั้น ก่อนที่เซิ่งอันหรานจะได้เปิดมันออกมาดู เสี่ยวฟางก็กุมมือของเธอไว้แน่น
“พี่อันหราน หากว่าทนายของพี่มาครั้งหน้า ได้โปรดช่วยฉันเอาของสิ่งนี้ฝากไปให้พี่จวิ้นด้วย ฉันขอร้อง”
ดวงตาของเสี่ยวฟางส่องประกาย เธอหายใจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เซิ่งอันหรานเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอด้วยมือเปล่าอีกข้างหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆพูดก็ได้ ”
“เมื่อกี้ พี่ฮวนบอกกับฉันว่า หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จฉันจะติดคุก—”
หลังจากพูดจบ ใบหน้าของเธอดูเศร้าสลดลง เซิ่งอันหรานไม่รู้ว่าจะปลอบเธออย่างไร ในห้องน้ำขนาดเล็กมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องไห้สะอื้น
"ไม่ต้องกังวลหรอก "
เซิ่งอันหรานยัดผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋า จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปกอดหญิงสาวคนนั้น วางคางไว้ที่ศีรษะของเธอ และตบหลังเธอเบาๆครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอทำได้เพียงแค่ปลอบใจหญิงสาวคนนั้น และไม่สามารถพูดคำที่ทำร้ายจิตใจของเธอมากจนเกินไป
เสี่ยวฟางถูกจับในข้อหาปลอมแปลง เธอทำยาปลอม ในโรงงานมืดแถวเขตชานเมือง ยาสามัญจำนวนมากของแบรนด์ๆหนึ่งถูกผลิตขึ้นที่นั่นทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นยาสำหรับกล่อมประสาทเด็ก ซึ่งตำรวจได้จับตามองที่นั่นอยู่เป็นเวลานานแล้ว โรงงานผลิตยาปิดตัวลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่พวกเขาจับเสี่ยวฟางได้เพียงคนเดียว
เดิมทีคิดว่าเธอเป็นเพียงแพะรับบาป ดังนั้นเธอจึงขังเธอไว้ในสถานกักกันก่อน แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากผ่านการสอบสวนและการพิจารณาคดี ไม่ว่าจะเป็นคำสารภาพส่วนตัวของเสี่ยวฟางเองหรือเบาะแสที่ตำรวจพบ ชี้ ไปในทางเดียวกันว่าเธอเป็นเพียงคนๆเดียวที่อยู่เบื้องหลัง
ผลสรุปออกมาเป็นแบบนี้ แม้แต่ตัวของเซิ่งอันหรานเองก็ยังไม่เชื่อ
แต่เสี่ยวฟางเป็นคนตกปากยืนยันและยอมรับในข้อกล่าวหาทั้งหมด เธอไม่มีเจตนาที่จะปกป้องตัวเองเลย ซึ่งมันทำให้เซิ่งอันหรานค่อนข้างอึดอัดใจ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การทำยาปลอมมันก็เป็นเรื่องที่ผิดมโนธรรม ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะดูบอบบางแค่ไหน แต่เซิ่งอันหรานก็ไม่สามารถข่มใจตัวเองให้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนอย่างปกติได้
หลังจากอยู่ในห้องน้ำได้ครู่หนึ่ง อารมณ์ของเสี่ยวฟางก็ค่อยๆผ่อนคลายลง ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร
ระหว่างทางหญิงร่างเพรียวบางจับแขนของเซิ่งอันหรานไม่ยอมปล่อย ในดวงตาของเธอตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เธอทำดีกับทุกคน มีเพียงคนคนเดียวที่มีปัญหากับเธอ คือหญิงอ้วนที่นอนอยู่เตียงตรงข้าม เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเธอไร้มโนธรรมและเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์
จะพูดว่าเป็นความขัดแย้งมันก็ไม่ใช่เลยซะทีเดียว มีครั้งหนึ่งเธอยืนขึ้นและบังเอิญไปเตะกาน้ำร้อนซึ่งวางอยู่ทางด้านข้าง น้ำร้อนลวกที่เท้าของเธอ เป็นแผลพุพองอยู่หลายแผล แต่เธอกลับยืนนิ่ง ราวกับไม่รู้สึกอะไรเลย สักพักเธอจึงพูดกับหญิงอ้วนนั้นว่า "ถ้าฉันไม่มีจิตสำนึกจะมาอยู่ในคุกได้อย่างไร เธอไม่ต้องพูดมาก "
หญิงอ้วนจ้องไปที่น้ำร้อนซึ่งลวกอยู่บนเท้าของเธอ และไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูด หญิงอ้วนรีบเคาะประตูเพื่อเรียกคุณหมอ
ก่อนที่คุณหมอจะมา เซิ่งอันหรานได้ช่วยรักษาบาดแผลให้เธอก่อน ในเวลานี้เอง ที่ดวงตาของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอจ้องไปที่ตุ่มพองบนเท้าของตัวเอง และบอกกับตัวเองว่ามันสมควรได้รับกรรมเช่นนี้แล้ว แม้แต่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตมันก็สมควร
สุดท้ายศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี และไม่ได้ตัดสินประหารชีวิตเธอ
ทั้งสองคนมาถึงโรงอาหารแล้ว ทันทีที่ก้าวเข้าไปพ้นประตูโรงอาหาร หญิงอ้วนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องเดินเข้ามาคว้าแขนของเซิ่งอันหราน
“เธอเป็นหมอใช่ไหม ข้างในเกิดเรื่องแล้ว ”
เธอลากเซิ่งอันหรานไปที่ห้องครัวบนชั้นสอง ในเวลานี้ กลุ่มคนมายืนรวมตัวกันอยู่ที่ประตูห้องครัว เมื่อเห็นที่เกิดเหตุทุกคนล้วนตกใจและไม่กล้าก้าวเท้าเดินเข้าไป หญิงอ้วนดึงแขนเซิ่งอันหรานและตะโกนให้คนอื่นหลีกทาง
ห้องครัวเละเป็นโจ๊ก มีคราบเลือดสาดอยู่บนผนังเลอะเทอะไปหมด เชฟหลายคนยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับมีดและไม้พาย จ้องมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนอยู่กับพื้น
ผู้คุมคนนี้ใบหน้ายังอ่อนเยาว์ เธอดูไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ เมื่อเห็นเลือดสดๆที่ไหลออกมาจากข้อมือของผู้หญิงคนนั้น เธอคิดกับตัวเองหลายครั้งว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องตายบนท้องถนนอย่างแน่นอน
เซิ่งอันหรานมีวิจารณญาณทางการแพทย์ที่แม่นยำ เธอรู้ว่าบุคคลนั้นยังอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมีชีวิตรอด เธอเอนตัวพิงเบาะนั่งและพยักหน้า ขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทื่อๆ
“ต้องขอบคุณการห้ามเลือดฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพของคุณ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ดร.เฉิน ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะช่วยชีวิตของหญิงคนนั้นได้ไหม”
เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นเคยและมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย เซิ่งอันหรานเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของชายคนนั้นซึ่งกำลังมองมาที่เธออย่างมีความหมาย
เธอขมวดคิ้วและครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“กัวเชา ?”
"ไม่คิดว่าคุณจะจำผมได้ "
ชายคนนั้นพยักหน้า ที่คอของเขามีสเต็ทโตสโคบห้อยอยู่ มือของเขาล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมสีขาว สายตาของเขามองไปที่ร่างของเซิ่งอันหรานด้วยความประหม่า
ในเวลานี้ใบหน้าของเซิ่งอันหรานไม่ได้มีการแต่งหน้าใดๆ ผิวของเธอดูซีดเล็กน้อย เธอสวมเสื้อคลุมสีขาวทับเครื่องแบบสีน้ำเงิน ร่างกายของเธอซูบผอม
กัวเชามองไปที่เธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ กว้างขึ้น
“คุณดูแตกต่างจากครั้งที่แล้วมาก ผมเกือบจะจำไม่ได้ ”
มีความรู้สึกเยาะเย้ยในคำพูดเหล่านั้น แต่เซิ่งอันหรานก็ไม่ได้สนใจมัน เธอเงยหน้าขึ้นอย่างสงบและมองไปที่เขา
“คิดว่าคุณคงจะได้เห็นข่าวแล้ว ตอนนี้ฉันตกเป็นผู้ต้องสงสัย แน่นอนว่ามันจะต้องต่างจากเมื่อก่อน ”
คำพูดของเซิ่งอันหรานดูมีความมั่นใจ แน่วแน่ และไม่แยแสต่อท่าทางของกัวเชา ซึ่งมันทำให้กัวเชารู้สึกแปลกๆ และทำให้เขาอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน