PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด นิยาย บท 18

Pream Part

.

ฉันค่อย ๆ เดินเข้าบ้านที่คุ้นเคย ขาฉันสั่นเล็กน้อยจนต้องหยุดพัก แต่ก็พยายามที่จะก้าวต่ออย่างมั่นคง บ้านที่ไม่ได้กลับมาแค่เดือนกว่ามีสภาพไม่ต่างกับครั้งสุดท้ายที่ฉันเดินจากมาเท่าไหร่ แต่ในความรู้สึกมันเหมือนว่าฉันไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่เนิ่นนาน อาจจะเป็นเพราะ...ฉันจากไปโดยที่มีความผิดติดตัวละมั้ง... ฉันหนีไป โดยที่ทิ้งความจริงไว้เบื้องหลังอย่างคนขี้ขลาด

แต่สุดท้ายฉันก็ได้เรียนรู้แล้วว่าไม่มีใครที่จะหนีความผิดที่ก่อไว้ได้ตลอดไป ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าบ้าน...

“คุณพรีม...”

“แม่เพียร”

คนแรกที่ฉันเจอคือแม่เพียร แม่เพียรยืนมองฉันอย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูก อยากจะเดินเข้าไปออดอ้อนเหมือนที่เคยทำแต่ก็ไม่กล้าพอ แม่เพียรยืนจ้องฉันแบบนั้นจนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางทั้งสองข้างเอ่อไปด้วยน้ำตา

“แม่เพียรขา” ฉันตัดสินใจเอ่ยเรียกแม่เพียรเหมือนตอนที่ฉันยังเด็ก เวลาที่ทำอะไรผิดมาฉันมักจะเรียกแม่เพียรที่กำลังโกรธแบบนี้เสมอเพื่อให้แม่เพียรใจอ่อน

“คุณพรีม” และแม่เพียรก็ใจอ่อนให้ฉันตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนี้ หญิงที่ใกล้หกสิบเต็มทนรีบเดินเร็ว ๆ เข้ามาหาฉัน ก่อนกระโจนเข้าหาอ้อมแขนที่ฉันเปิดกว้างไว้รอ “คุณพรีมของเพียร”

ฉันกอดร่างที่เริ่มโรยแรงลงทุกวันอย่างทะนุถนอม ค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นคุ้นเคยที่ได้มาตั้งแต่เกิด แม่เพียรไม่ใช่แม่ก็เหมือนแม่ ไม่ได้คลอดฉันมาแต่ก็เลี้ยงดู ทั้งดุ และปลอบโยนตั้งแต่เล็กจนโต

“พรีม”

เสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยเรียกทำให้ฉันผละออกจากอ้อมแขนของแม่เพียร และหันไปมองบันไดของบ้านที่มีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่

“คุณพ่อ” ฉันเรียกท่าน ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าใครอีกคนกำลังเดินลงมาจากบ้านเช่นกัน “คุณแม่...”

“กลับมาแล้วเหรอ” แม่เอ่ยถามฉันด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีที่ท่าไม่พอใจ ท่านพูดเหมือนทุกครั้งที่ฉันกลับมาบ้านหลังจากที่ออกไปข้างนอกมา

“ค่ะ” ฉันได้แต่ตอบกลับไปเสียงเบา

“แล้วเพียรร้องไห้ทำไม” แม่หันไปถามแม่เพียรที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ แม่เพียรส่ายหน้าไปมา มือไม้พยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด จนสุดท้ายฉันต้องโอบเอวหนา ๆ นั้นไว้

“แม่เพียรไม่ร้องนะคะ”

“ฮึก! คุณพรีม ฮือ”

“เอ้า ไปกันใหญ่เลย” พ่อพูดออกมาขำ ๆ ใบหน้าของท่านยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี และเพราะแบบนั้นบรรยากาศในบ้านจึงดูผ่อนคลายลง “พรีมกลับมาบ้านทั้งที ร้องไห้ต้อนรับใช้ได้ที่ไหน ป่านนี้เหลนที่อยู่ในท้องขำคนแก่ขี้แยเอิ้กอ้ากกันแล้วกระมัง”

“จะ...จริงด้วยค่ะ” แม่เพียรหยุดร้องไห้ทันทีแม้จะยังสะอื้นไม่หยุด ก่อนจะหลุบตามองที่หน้าท้องของฉัน “คุณหนูน้อยทั้งสองคนกี่เดือนแล้วคะคุณพรีม”

“สามเดือนแล้วค่ะ กินเก่งมาก ๆ จนพรีมเริ่มอ้วนแล้ว” ฉันตอบยิ้ม ๆ พลางจับมือของแม่เพียรมาวางที่หน้าท้องที่เริ่มป่องของตัวเองด้วย

“หลานพ่อได้พรีมมาเต็ม ๆ เลยรู้ไหม ตอนที่แม่เขาท้องเราแม่ก็กินไม่หยุด พอพ่อเริ่มห้ามแม่ก็เอาแต่บอกว่าพรีมหิว ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรือเปล่า” พ่อเล่าความทรงจำออกมาพร้อมรอยยิ้ม แถมหันไปส่งยิ้มให้แม่ที่เริ่มทำหน้าไม่ถูกด้วย แม่พยายามมองไปทางอื่น แต่ฉันก็ยังสังเกตเห็นว่าใบหูของท่านขึ้นสีแดงจัด

อย่าบอกนะว่าแม่กำลัง...เขิน

“แล้วจะยืนคุยตรงนี้อีกนานไหม ไปนั่งคุยดี ๆ กันสิ” ว่าจบแม่ก็เดินนำเข้าห้องนั่งเล่นไปทันที พ่อเดินหัวเราะหึ ๆ ตามหลัง แต่ยังไม่วายแอบกระซิบกับฉันว่า

“แม่เขาเขินน่ะ”

สรุปว่าแม่กำลังเขินอยู่จริง ๆ สินะ ฉันไม่เคยเห็นมุมนี้ของแม่มาก่อนเลย เหมือนกำลังได้รู้จักแม่อีกคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนอย่างไงอย่างนั้น

“คุณพรีมอยากทานอะไรไหมคะ” แม่เพียรถามหลังจากที่พ่อและแม่เดินเข้าห้องนั่งเล่นไปแล้ว

“เอาน้ำส้มกับคุกกี้ค่ะ”

“ได้ค-“

“ไม่ได้ครับ” แม่เพียรยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเสียก่อน ฉันขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองมารผจญที่เริ่มออกฤทธิ์อีกแล้ว

“คุณคริส มาด้วยเหรอคะ” แม่เพียรรับไหว้คริส ก่อนจะเอ่ยถามออกมา คำพูดคำจาที่ดูเหมือนสนิทกันยิ่งทำให้ฉันขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ อีตานี่มาบ้านฉันกี่ครั้งแล้วเนี่ย

“ปล่อยพรีมไว้คนเดียวไม่ได้หรอกครับ ไม่งั้นก็เรียกหาคุกกี้ไม่หยุด แม่เพียรครับ” คริสมองหน้าฉันอย่างกวนประสาท ก่อนจะหันไปเรียกแม่เพียร เดี๋ยวนะ แม่เพียรนี่ฉันเรียกได้คนเดียวนะ ผู้ชายคนนี้ถือสิทธิ์อะไรมาเรียกแม่เพียรซ้ำกับฉัน

“คะ?”

“ให้พรีมทานได้แค่ผลไม้นี้นะครับ” เขายื่นถุงผลไม้ที่แวะซื้อก่อนเข้ามาให้แม่เพียร “เพราะวันนี้พรีมทานคุกกี้เกินที่กำหนดไว้แล้ว ต้องทานผักและผลไม้เยอะ ๆ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องขับถ่าย”

“นี่! มาพูดอะไรแบบนี้ตรงนี้” ฉันรีบขัดทันที เพราะแซนดี้แท้ ๆ ที่เผาว่าช่วงนี้ฉันน้ำหนักขึ้นเกินกว่าที่หมอบอก แถมยังท้องผูกเพราะไม่ยอมกินผักและผลไม้ คริสถึงได้เข้มงวดเรื่องการกินกับฉันขนาดนี้ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ มีเพื่อนเพื่อนก็เข้าข้างคนอื่นมากกว่าเพื่อนตัวเอง

“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจัดให้นะคะ”

“แม่เพียรขา”

“ทำตามที่คุณคริสบอกเถอะค่ะ เพื่อสุขภาพ เพื่อลูกนะคะ” พอแม่เพียรพูดแบบนั้นฉันก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่งค้อนให้คริสที่เดี๋ยวนี้ชักจุ้นจ้านเหลือเกิน ก่อนจะเดินเข้าห้องนั่งเล่นไป รับรู้ว่าผู้ชายวุ่นวายคนนั้นเดินตามเข้ามา แต่ก็ไม่ได้หันไปห้ามอะไร

“สวัสดีครับคุณน้า”

“อ้าว คริสมาด้วยหรือ” พ่อทักทายคริสอย่างเป็นกันเอง ตอกย้ำให้ฉันมั่นใจว่าคริสคงเข้านอกออกในบ้านหลังนี้จนสนิทกับคนในบ้านไปหมดแล้ว

“ครับ” คริสตอบก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉัน

“แต่สิ่งเดียวที่ผมให้สัญญาได้ คือผมจะดูแลพรีมและลูกให้ดีที่สุด ดีเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ครับ”

.

.

“หนูพรีมนี่...สวยจริง ๆ”

“ก็ต้องสวยสิม้า ไม่สวยจะเป็นเมียคริสได้เหรอ”

“หุบปากไปเลย ไม่ได้คุยด้วย” ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคริสถูกดุจนนั่งหงอ หลังจากที่อยู่คุยกับพ่อ แม่ และแม่เพียรจนครึ่งค่อนวัน เราก็ย้ายมาบ้านของคริสบ้าง ซึ่งเราทำเหมือนเดิม คือกราบขอขมาทั้งพ่อและแม่ของคริส แต่บ้านนี้แปลกมาก... มากจริง ๆ เพราะนอกจากไม่มีดราม่าร้องไห้จนหน้าแดงเหมือนบ้านฉันแล้ว พ่อและแม่ของคริสยังขำลูกชายตัวเองอีก

พอคุยไปซักพักฉันจึงรู้ว่าครอบครัวของคริสก็เป็นแบบนี้ ไม่ค่อยเครียด ไม่ค่อยมานั่งร้องไห้ คนที่บ้านจะบอกรัก กอด ไหว้กันเป็นปกติจนเลิกซึ้งไปแล้ว และนั่นทำให้ฉันเห็นความแตกต่างของบ้านฉันและบ้านของคริสอย่างชัดเจน ทั้งความหัวสมัยใหม่ และการเลี้ยงดู

ซึ่งฉันไม่ได้มองว่าบ้านไหนดีกว่า แต่ก็ยอมรับว่าการเลี้ยงดูของบ้านคริสทำให้มองโลกในแง่บวกจริง ๆ

“คริสมันมางอแงกับป๊า” ป๊าของคริสพูดขึ้น ทั้งป๊าและม้าของคริสบอกให้ฉันเรียกทั้งคู่ว่าป๊าม้าเหมือนที่คริสเรียก แต่ฉันยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เลยเขิน ๆ อยู่บ้างเวลาต้องเรียก หรือเวลาที่พ่อแม่ของคริสแทนตัวเองว่าป๊าม้าแบบนี้ “บอกว่าหนูพรีมไม่ยอมกลับไทย จะอยู่ที่นู่นต่ออีกสองปี”

“คือ...” ฉันมองหน้าคริส แหม... ทีวันนั้นล่ะพูดเหมือนพระเอกผู้เสียสละ แต่วันนี้ฉันได้รู้ความจริงแล้วว่าเบื้องหลังมางอแงกับพ่อแม่ตัวเองแบบนี้นี่เอง “หนูอยากทำงานที่นั่นก่อนน่ะค่ะ อยากให้ตัวเองมีผลงานมากกว่านี้ อาจจะใช้เวลาซักสองปี แล้วค่อยกลับไทยค่ะ”

“ดีแล้วล่ะลูก มีเป้าหมายในชีวิต อย่าเหลาะแหละแบบคริสมัน”

“ป๊าอะ!!” ฉันหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ครอบครัวของคริสช่างเป็นครอบครัวที่มีอารมณ์ขันและผ่อนคลายมากจริง ๆ เวลาคริสอยู่กับครอบครัวก็เหมือนเด็กในร่างยักษ์คนหนึ่ง แถมยังโดนแฉจนหมดเปลือก ที่ทำตัวเป็นประเอกซีรีส์เกาหลีตอนก่อน ๆ ที่ผ่านมาลืมไปได้เลย ต่อไปนี้คือร่างที่แท้จริงของเขาแล้ว

“คริสเขามาขอว่าทำงานออนไลน์ได้ไหม เพราะจะไปอยู่กับพรีมที่นู่น อันที่จริงเขาก็ดูกังวล เพราะอยากให้ป๊าพักแล้ว” พ่อของคริสพูดขึ้นอีกครั้ง ท่านมองหน้าฉันสลับกับคริสไปมา “แต่ป๊ายังไม่แก่ ขนาดนั้นเสียหน่อย ยังฟิตปั๋งสุด ๆ คริสมันคิดไปเองว่าป๊าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากจะโม้เลยว่าให้ทำน้องให้คริสอีกคนป๊าก็ยังไหว”

“ป๊านี่!!” แม่ของคริสตีแขนของสามีตัวเองแรง ๆ ทั้งแก้มและหูแดงเถือกเพราะความเขินอาย

“จริงนี่ม้า”

“เลิกพูดเลย อายลูกบ้าง” แม่ของคริสตัดบทเพราะทนความอับอายไม่ไหว พ่อของคริสเลยหันกลับมาพูดกับฉันอีกครั้ง

“ป๊าคงให้คริสตามไปดูแลหนูพรีมนั่นแหละ ไม่ต้องขมวดคิ้วหรอกลูก ถึงคริสมันจะไปอยู่ไกล แต่ป๊าใช้งานเต็มที่แน่นอน”

“อันนี้ยอม” คริสยิ้มกว้างออกมา ฉันหันไปมองหน้าเขา แม้คริสจะไม่ใช่ผู้ชายที่ได้เรื่องเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่คิดจะทิ้งลูก และก็ไม่คิดจะทิ้งงานที่ต้องรับผิดชอบด้วย ถือว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง (ให้ระดับเดียวก่อน เพราะของแบบนี้ต้องดูกันต่อไปยาว ๆ เผื่อดีแตกทีหลัง)

หรือแม้แต่เรื่องครอบครัวของฉันเขาก็ไม่ได้มองข้าม เขาเป็นคนเสนอให้ซื้อดอกไม้ไปไหว้พ่อกับแม่ฉันเองด้วยซ้ำ อันที่จริงฉันก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องกราบขอโทษพวกท่าน แต่ไม่ได้คิดถึงดอกไม้มาก่อน และพอมีดอกไม้มันทำให้ทุกอย่างดูสบายขึ้นจริง ๆ คริสเป็นคนมองการไกล และมองได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะบุคลิกของเขาทำให้คนอื่น ๆ ดูไม่ออกว่าคริสเป็นคนจริงจังมากแค่ไหน แต่ฉันที่คุยกับเขามาซักพักเริ่มเรียนรู้แล้วว่าเขาเป็นคนที่จริงจังมาก อย่างเรื่องน้ำหนักฉันที่ขึ้นเกินมาแค่สองขีดเขายังเข้มงวดเรื่องอาหารการกินทุกอย่างเลย มันอาจจะน่ารำคาญ(ฉันก็รำคาญจริง ๆ นั่นแหละ) แต่เพราะเขาห่วงทั้งตัวฉันและลูกเลยต้องทำแบบนั้น

ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกขึ้นมานิด ๆ แล้วสิ ที่แต่งงานกับผู้ชายคนนี้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด