Chris Part
.
สรุปแล้วพวกเราทั้งสามคนถูกหมอมิเชลขอร้องกึ่งไล่ให้กลับมาพักผ่อนทั้งหมด เพราะพรีมยังไม่ตื่นภายในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ยื้อกันอยู่นานสุดท้ายพวกเราก็ยอมกลับ นิโคลัสขับรถมาส่งผมและแซนดี้ที่บ้าน ส่วนตัวเขาก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านตัวเองเหมือนกัน
แซนดี้เข้าไปอาบน้ำในห้องนอนเล็ก ที่จริงแล้วตอนที่ผมไม่อยู่แซนดี้มานอนที่ห้องนอนใหญ่เพื่อที่จะได้ดูแลพรีมได้สะดวก พอผมกลับมาเธอก็ไปอยู่ที่ห้องเล็กแทนเพื่อความเหมาะสม
ผมเสียบที่ชาร์จแบตกับมือถือ รอให้ไฟวิ่งเข้าสักพักก็เปิดเครื่อง ข้อความเด้งขึ้นทันทีว่าเนตั้นพยายามติดต่อผมเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ผมรีบโทรกลับไปหามันทันทีเผื่อมีอะไรคืบหน้าจากทางนั้น
'คริส' มันรับสายอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ากำลังรอผมอยู่
“เนตั้น กูเห็นมึงโทรมา มีอะไรวะ”
'ทางนั้นเป็นไงบ้าง'
“พรีมยังไม่ตื่นเลย ลูกคนโตตัวเล็กมากแต่แข็งแรงดี ส่วนอีกคน...” คอผมแห้งผากเมื่อต้องพูดถึงลูกชาย รู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่จะต้องเล่าอาการของลูกออกไปให้ใครฟัง “หมอบอกว่า...ต้องรอดูอาการ”
'ทำไม'
“หลายเหตุผลเลยว่ะ กูได้แต่หวังว่าเขาจะรอด”
'ใจเย็น ๆ ก่อนคริส' เนตั้นเอ่ยเตือนเมื่อเสียงผมเริ่มสั่น ถ้าเป็นเมื่อชั่วโมงที่แล้วผมคงสติแตกไม่รับฟัง แต่เพราะตอนนี้ผมตั้งสติได้แล้วก็เลยสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้บ้าง
“กูใจเย็นอยู่”
'ดีแล้ว... พวกกูกำลังรอวีซ่า แต่ครอบครัวมึงกับครอบครัวพรีมล่วงหน้าไปก่อนแล้ว คิดว่าอีกไม่เกินสิบชั่วโมงน่าจะถึง ตอนนี้มึงอยู่ไหน'
“บ้าน หมอไล่กูมานอนพัก”
'งั้นมึงนอนไปก่อน อย่าเพิ่งเครียด พักผ่อนเยอะ ๆ อย่าให้ล้มไปอีกคน'
“อืม ขอบใจมึงมากนะ ถ้าไม่ได้มึงกูคงทำอะไรไม่ได้เลย” ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนจากใจจริง ถ้าไม่ได้เนตั้นผมไม่มีทางได้มาหาพรีมเร็วขนาดนี้แน่ ๆ อย่างน้อยก็ต้องรอเดินทางตอนเย็นของอีกวันตามตั๋วเครื่องบินที่ผมซื้อไว้ เพราะเป็นไฟลท์ที่เร็วที่สุดแล้ว
'ไม่เป็นไร มึงเพื่อนกู พรีมก็เมียเพื่อนกู แฝดก็หลานกู' ผมน้ำตาคลอเมื่อเนตั้นพูดแบบนั้น พวกเราคบกันมาตั้งแต่ยังไม่หย่านมแม่ แต่ไม่เคยเลยซักครั้งที่ผมจะร้องไห้ให้เพื่อน แต่ครั้งนี้ถ้าไม่มีเนตั้น หรือเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่คอยโทรหาและออกตามหาตอนที่ติดต่อผมไม่ได้ ผมก็คงจัดการปัญหาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่ได้
“ขอบใจจริง ๆ”
'เออ นอนเถอะ แล้วเจอกัน'
.
.
ผมตื่นมาตอนหกโมงเช้า ยังรู้สึกเพลียอยู่บ้างเพราะนอนไม่ค่อยหลับ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ก้าวออกมาข้างนอก แซนดี้เองก็ตื่นแล้ว เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวและยังคงไม่ยอมมองหน้าผม ผมไม่รู้ว่าทำไมแซนดี้ถึงโกรธผมมากขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลพรีมด้วยตัวเอง แต่ก็ด้วยเพราะหน้าที่การงานทั้งนั้นซึ่งแซนดี้เองก็รู้เรื่องนี้ดี
“แซนดี้ กินอะไรไหม” เพราะวันนี้สามารถเข้าเยี่ยมพรีมได้ตอนแปดโมง ผมเลยยังไม่ออกจากบ้าน ซักเจ็ดโมงครึ่งค่อยออกก็ยังทัน เพราะโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่
ไร้เสียงตอบรับจากแซนดี้ ผมเลยเดินไปจัดการอาหารเช้าเงียบ ๆ ก่อนจะยกไปวางตรงหน้าอีกคนที่นั่งเล่นมือถืออยู่ “กินหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะปวดท้อง”
“ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก” เธอยอมพูดกับผมจนได้ แต่เป็นคำพูดที่ทำให้ผมใจเสียไม่น้อย แซนดี้ที่เคยช่วยให้ผมได้แต่งงานกับพรีม ตอนนี้แซนดี้คนนั้นหายไปแล้ว แต่ผมก็ผิดเองที่ไม่ได้ดูแลพรีมให้ดีเหมือนที่ผมบอกกับเธอเอาไว้
“ฉันไม่ได้จะทำดีหวังผลอะไร แค่ไม่อยากให้เธอป่วยไปอีกคน”
“หึ” แซนดี้ยังคงมึนตึง ไม่ยอมกินอาหารที่ผมทำให้
ผมถอดใจ ไม่อยากบังคับฝืนใจใคร ในเมื่อเธอไม่กินก็ไม่อยากเซ้าซี้ ผมนั่งลงและจัดการอาหารของตัวเองเงียบ ๆ ในหัวก็คิดไม่ตกว่าจะคุยกับป๊าม้าและพ่อแม่พรีมยังไงดีเรื่องลูกชาย มันยากมากจริง ๆ ที่จะพูดออกไปโดยที่ไม่เสียใจ และทำให้คนรับฟังเสียใจน้อยที่สุด
“คริส” เสียงเรียกของแซนดี้ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น แซนดี้วางมือถือลงแล้ว เธอจ้องหน้าผมแบบจริงจังเป็นครั้งแรก “ถามได้ไหม เพื่อนของฉันไม่ดีตรงไหนเหรอ?”
“ทำไมถามแบบนี้”
“แค่ตอบมาก็พอ”
“ไม่มี” ผมตอบความความจริง สำหรับผมพรีมเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง
“โกหก”
“ฉันไม่ได้โกหก” ผมวางช้อนลง รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้วที่ถูกกล่าวหาแบบนี้ ผมไม่ได้โกหกและไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกเลย ในเมื่อผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
“ถ้าพิมมี่ดีสำหรับนายจริง ๆ แล้วทำไมนายถึงนอกใจเธอแบบนี้”
“นอกใจ?” ผมขมวดคิ้วแน่น ผมไปนอกใจพรีมตอนไหนกัน “ฉันไม่เคยนอกใจพรีม”
“อ๋อ ไม่ได้นอกใจแต่นอกกายใช่ไหม” แซนดี้ทำเหมือนว่าเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้เข้าใจที่ผมพูดเลย แถมยังเข้าใจผิดไปไกลอีก
“ฉันไม่เคยคิดนอกกายหรือนอกใจพรีม และก็ไม่เคยทำด้วย”
“นายจะโกหกไปถึงเมื่อไหร่!” แซนดี้เริ่มเสียงดังขึ้น “ทั้ง ๆ ที่นายออกไปเที่ยวกับผู้หญิงเกือบทุกวัน ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ได้ทำอีก”
“ผู้หญิง? ผู้หญิงที่ไหน?”
“นายรู้ดีแก่ใจคริส อย่าให้ฉันต้องพูดมันออกมาเลย”
ยิ่งแซนดี้พูดแบบนั้นผมยิ่งไม่เข้าใจ กลับไปที่ไทยนอกจากทำงานและไปเลี้ยงเด็กแล้ว ผมแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วจะออกไปเที่ยวกับผู้หญิงได้ยังไง
หรือว่า...
“เธอหมายถึง คุณนัญ?”
“ฉันจะรู้ชื่อผู้หญิงของนายไหมล่ะ ฉันรู้แค่นายออกไปเที่ยวกับหล่อนเกือบทุกวัน นั่งยิ้มหัวเราะหน้าบานเหมือนลืมว่าตัวเองมีเมียแล้ว”
“คุณนัญเป็นลูกค้าฉัน ถ้าเธอไม่เชื่อฉันจะ....”
“พอ” แซนดี้ยกมือขึ้นห้ามให้ผมหยุดพูด “นายไม่ต้องมายืนยันอะไรกับฉัน ฉันไม่ใช่เมียนาย คนที่นายควรยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยคือเมียของนายต่างหาก”
“พรีมรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“พิมมี่เครียดกับเรื่องนี้จนเข้าโรงพยาบาลไปรอบหนึ่ง”
“เมื่อไหร่! ตอนไหน! ทำไมฉันไม่รู้” ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้ทันทีที่แซนดี้พูดแบบนั้น ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้ ทำไมพรีมไม่เคยบอกผมเลย
“วันที่พิมมี่โทรหานายหลาย ๆ สายนั่นแหละ” พอแซนดี้พูดแบบนั้นผมก็นึกขึ้นได้ วันนั้นพอผมเห็นสายที่ไม่ได้รับจากพรีมเป็นสิบสายผมก็รีบโทรกลับหาพรีมทันที ผมกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเพราะปกติเธอไม่ใช่คนชอบโทรหาย้ำ ๆ แบบนี้ แต่พรีมกลับบอกแค่ว่ามือถือรวน ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร น้ำเสียงพรีมก็ดูสดใสเหมือนปกติ ผมเลยไม่เอะใจอะไรเพราะเชื่อว่ามือถือพรีมแค่รวนจริง ๆ
“ฉันนี่โคตรแย่” แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมโทษตัวเองได้ยังไง ในเมื่อผมเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดแบบนี้ ต่อให้ตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้อยู่ดี
“ถ้านายไม่ได้ทำจริง ๆ ก็ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก พิมมี่เองก็คงไม่อยากให้นายคิดแบบนั้น ที่ฉันมาถามนายก่อนแบบนี้ เพราะนายจะได้รู้ว่าถ้าพิมมี่ฟื้นขึ้นมาแล้วปั้นปึงใส่เป็นเพราะอะไร”
“อืม...ขอบใจนะ”
“ถึงตอนนี้ฉันจะเหม็นขี้หน้านาย แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายกับพิมมี่ต้องทะเลาะกันอีก แค่นี้เรื่องมันก็แย่มากพอแล้ว” ผมมองแซนดี้อย่างซาบซึ้งใจที่เธอพูดแบบนั้น แซนดี้คือเพื่อนที่ดีมากจริง ๆ ไม่แปลกเลยที่พรีมและรักและไว้ใจแซนดี้มากขนาดนี้
“รีบกินเถอะ ฉันอยากไปเยี่ยมเพื่อนแล้ว” เธอเลื่อนจานอาหารเช้าที่ผมทำให้เข้าหาตัว ก่อนจะตักกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างน้อยตอนนี้แซนดี้ก็เริ่มอ่อนข้อให้ผมหน่อยหนึ่งแล้วล่ะนะ
.
.
เรามาถึงโรงพยาบาลตอนแปดโมงตรง พยาบาลแจ้งว่าพรีมตื่นขึ้นมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อกลางดึก ตอนนี้นอนพักผ่อนอยู่ หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ในเวลาที่จำกัดเพื่อไม่รบกวนเธอมากเกินไป นิโคลัสตามมาสมทบหลังจากที่ผมและแซนดี้มาถึงไม่นาน เราทั้งสามคนเลยจะได้เข้าเยี่ยมพรีมพร้อมกัน พยาบาลบอกให้พวกเราสวมชุดของทางโรงพยาบาลทับ และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อความสะอาด เมื่อทำทุกอย่างที่พยาบาลสั่งเรียบร้อยจึงสามารถเข้าเยี่ยมได้
“พรีม” แซนดี้และนิโคลัสหลีกทางให้ผมได้เข้าหาพรีมก่อน ผมแตะที่มือบางเบา ๆ วันนี้สายอะไรต่อมิอะไรที่ผมเห็นเมื่อวานเริ่มลดลง ใบหน้าของพรีมซีดเผือดไร้สีเลือด แต่ลมหายใจที่ยังเข้าออกปกติทำผมอุ่นใจ “พรีม ฉันมาหาเธอแล้วนะ”
ผมยกมือของเธอขึ้นมา กดจูบเบา ๆ แต่เนิ่นนาน และเอาแก้มของตัวเองไปแนบกับหลังมือของเธอไว้ น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง เหมือนตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องอยู่ใกล้ความเป็นความตาย ผมเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถแบ่งเบาอะไรให้คนในครอบครัวได้เลย
“ม้า ป๊า คุณพ่อ คุณน้า ผมขอโทษด้วยครับที่ดูแลพรีมและลูกไม่ดี จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ป๊าไม่ได้อยากได้คำขอโทษ ป๊าอยากรู้ว่าทำไมหลานชายป๊า...” ป๊าหันกลับไปมองลูกชายของผมด้วยแววตาเจ็บปวด “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”
ผมตัดสินเล่าทุกคำพูดที่หมอมิเชลบอกกับผมให้ทุกคนฟัง ทุกคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป หม่าม้าเกือบเป็นลม ป๊าและคุณพ่อหน้าเครียดจัด ครีมก็ร้องไห้ออกมาแต่ก็ยังคอยดูแลหม่าม้าไม่ห่าง ส่วนคุณพิมพ์นภา... ผมไม่รู้ว่าเธอแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ เพราะผมไม่กล้าสบตาเธอ ผมละอายใจ...
“หลานย่า คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะลูก หนูต้องรอดรู้ไหม” หม่าม้าบอกหลานชายด้วยเสียงสะอื้น หลังจากนั้นพวกเราก็พากันออกมาจากตรงนั้นเพราะบรรยากาศเริ่มแย่ขึ้นเรื่อย ๆ ผมพาทั้งห้าคนไปที่บ้านเพื่อที่จะได้พักผ่อนกัน เพราะหมอแจ้งว่าจะย้ายพรีมเข้าห้องพักพิเศษพรุ่งนี้เช้า วันนี้ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้แล้ว อยู่ไปก็ไม่ได้คุยกันอยู่ดี รอให้พรีมออกจากห้องปลอดเชื้อก่อนจะดีกว่า
ระหว่างทางจนถึงบ้านทุกคนเงียบมาก เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ครีมและหม่าม้าเลิกร้องไห้แล้ว ส่วนแซนดี้ไม่ได้กลับมาด้วย เพราะจะกลับไปดูบ้านของตัวเองที่ทิ้งมานานบ้างโดยที่นิโคลัสอาสาไปส่ง
“คริส คุยกันหน่อยได้ไหม” เมื่อทุกคนเข้าห้องพักไปแล้วคุณพิมพ์นภาก็พูดขึ้น ผมหันกลับไปมองเธอ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“ครับ คุณน้า”
.
.
“เธอกำลังโทษตัวเองอยู่ใช่ไหม”
“มันเป็นความผิดของผมครับ” ผมก้มหน้าลง ยอมรับผิดทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ เพราะถ้าผมดูแลพรีมดีกว่านี้...เรื่องนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
“เธอไม่ได้ผิดหรอก ครรภ์เป็นพิษมันไม่มีทางป้องกันอยู่แล้ว”
ผมพยักหน้ารับ เมื่อคืนได้ลองหาอ่านเรื่องภาวะครรภ์เป็นพิษนี้มาบ้าง เลยได้รู้ว่ามันเป็นภาวะที่ป้องกันไม่ได้ รักษาก็ไม่ได้นอกจากยุติการตั้งครรภ์ถึงจะหายถาวร
“แต่ถ้าเรื่องนี้จะมีคนผิดจริง ๆ ก็คงเป็นฉัน...” คุณพิมพ์นภาเสียงสั่นจนผมรู้สึกได้ เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้เห็นความอ่อนแอของเธอ “ถ้าฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นก่อน มันคงไม่ส่งต่อมาให้พรีมแบบนี้”
“คุณน้า...”
“ครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นหลายสาเหตุ และหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญก็คือพันธุกรรม พรีมโชคร้ายที่เกิดมาเป็นลูกฉัน พรีมเลยต้องรับอะไรแบบนี้ไปด้วย”
“คุณน้าอย่าคิดแบบนั้นเลยนะครับ”
“ฉัน...ไม่อยากให้พรีมเสียลูกไปเหมือนกับฉัน มันเจ็บปวดเหมือนถูกพรากลมหายใจ ถ้าไม่มีพรีมอยู่ ฉันคงตายตามเขาไปแล้ว”
ผมเข้าใจทุกคำพูด เข้าใจทุกความรู้สึกของคุณพิมพ์นภา เพราะถ้าผมต้องเสียลูกไปจริง ๆ ผมก็คงไม่ต่างจากเธอในตอนนั้น ผมจำเรื่องที่คุณพิมพ์นภาเล่าให้ฟังได้ดี ในวันที่นัดผมไปคุยเรื่องให้จัดงานแต่งที่บ้าน เธอได้เปิดใจกับผมเรื่องยอมให้ผมแต่งงานกับพรีม รวมถึงเรื่องที่ความจริงแล้วพรีมมีพี่สาวฝาแฝดหนึ่งคนที่เกิดในท้องเดียวกัน แต่โชคร้ายที่พี่สาวของพรีมถูกภาวะครรภ์เป็นพิษของคุณพิมพ์นภาเล่นงานหนัก จนสุดท้ายแล้วหมอก็ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้
คุณพิมพ์นภาเล่าให้ผมฟังพร้อมกับแววตาที่แสนเจ็บปวด เรื่องนี้พรีมไม่เคยรู้มาก่อน และคุณพิมพ์นภาเองก็ตั้งใจจะปิดไว้จนวันตาย หลังจากวันที่สูญเสียเธอก็ไม่ให้ใครที่รู้เรื่องพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คุณพิมพ์นภาบอกผมว่าที่เธอยอมเล่าให้ผมฟัง เป็นเพราะเธออยากให้ผมดูแลพรีมให้ดีระหว่างท้อง เพราะท้องแฝดจะยิ่งเสี่ยงต่ออาการพวกนี้มากกว่าท้องคนเดียว ผมรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ และท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอีกจนได้
ตอนนี้ต่อให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนก็คงไม่มีทางเท่าคุณพิมพ์นภาแน่นอน เพราะภาพทุกอย่างในวันนี้คงทำให้ภาพในวันที่พรีมเกิดย้อนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง ถ้าลูกชายของผมสู้ไม่ไหว เธอก็จะเจอความสูญเสียแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง
“ฉันกลัวคริส ฉันกลัวว่าถ้าพรีมต้องสูญเสีย พรีมจะรับมันไม่ไหว”
“พรีมเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากครับ... แต่พรีมจะไม่มีทางสูญเสีย”
“หมายความว่ายังไง”
“ลูกชายผมและพรีม...หลานชายของคุณน้า”
“...”
“...เขาจะรอดครับ เพราะเขามีคุณยายและคุณแม่ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาจะต้องแข็งแกร่งเหมือนคุณยายและคุณแม่ของเขา เขาจะมีชีวิตอยู่ และเติบโตเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร” ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปเอาความมั่นใจมากจากไหน แต่ตอนที่ได้เห็นหน้าเขาครั้งแรก ผมก็เชื่อว่าลูกชายผมจะสู้จนผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ผมสัมผัสได้ถึงพลังนั้นจากเขา
“เธอคิดว่าแบบนั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้คิดครับ”
“...”
“แต่ผมมั่นใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: PLAYBOY คุณพ่อฝึกหัด