บทที่ 339 คุณถังลาออกจากบริษัทมู่ซื่ออีกแล้ว
เย่นจิ่งเหนียนก็มาถึงโดยเร็ว โดยที่ในมือนั้นเอากระเป๋ายาใบใหญ่มาด้วย
เย่นจิ่งเหนียนมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ในห้องรับแขก มีผู้หญิงยืนร้องไห้ บรรยากาศในห้องมาคุ ดูแล้วน่าสงสัยไม่น้อย
นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน
มู่เฉินหย่วนถลกแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นแขน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ช่วยตรวจDNAของฉันกับเธอที”
“ตรวจDNAหรือ” เย่นจิ่งเหนียนชะงักนิ่ง ก่อนจะหันไปมองโมมอยอี้ ก็เข้าใจได้ในทันที
ไม่แปลกใจที่มู่เฉินหย่วนให้เขานำของพวกนี้มาด้วย
เย่นจิ่งเหนียนเปิดกระเป๋ายาออก นำเครื่องตรวจที่คล้ายกับคอมพิวเตอร์ขนาด13นิ้วออกมา เพียงเปิดขึ้นข้างในก็ดูซับซ้อนมาก
“เลือดหนึ่งหยด หยดบนนี้” เย่นจิ่งเหนียนชี้ไปยังถาดสีเงินบนเครื่อง
หลังจากนั้นเขาก็ส่งเข็มเจาะเลือดให้กับมู่เฉินหย่วนและโมมอยอี้
การตรวจเลือดกับโรงพยาบาลนั้นใช้เวลาหนึ่งถึงสามวัน โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีเครื่องมือตรวจDNAที่ดีที่สุดสามารถตรวจผลเร็วที่สุดคือห้าชั่วโมง แต่เครื่องที่เขานำมานั้นไม่เหมือนกัน
นี่คือเครื่องมือใหม่ที่เขาและนักวิจัยจากประเทศลิทัวเนียหลายสิบคนใช้เวลาห้าปีในการคิดค้นขึ้นมา หยดเลือดเพียงหนึ่งหยด เครื่องจะทำการประมวลผลถึงสุขภาพร่างกายของคนคนนั้นทันที และออกแผนการรักษามาให้ด้วย
เนื่องจากพวกเขาทำงานให้กับประเทศลิทัวเนีย และการวิจัยครั้งนี้ของประเทศลิทัวเนีย ทางศูนย์วิจัยก็ได้ให้ทุกคนเซ็นสัญญารักษาความลับ เครื่องมือตัวนี้นอกจากที่ห้องวิจัยแล้ว ก็มีแค่ในค่ายทหารเท่านั้น
มู่เฉินหย่วนเจาะเลือดและลงบนถาดสีเงินด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
แต่โมมอยอี้กลับละล้าละลัง เธอมองมู่เฉินหย่วนทั้งน้ำตา ก่อนจะเดินถอยหลังไป “ช่างมันเถอะค่ะ ไม่มีอะไรให้น่าตรวจทั้งนั้น คุณเองก็ไม่ใช่ลูกของฉัน...”
“จะใช่ไม่ใช่ ตรวจไปเดี๋ยวก็รู้” มู่เฉินหย่วนกล่าวเสียงเย็นชา ก่อนจะออกแรงดึงมือของโมมอยอี้ เหลือบมองไปทางเย่นจิ่งเหนียน หลังจากนั้นก็เจาะเลือดด้วยความว่องไว
สองหยดเลือดหยกลงบนถาดสีเงิน เพียงไม่กี่วินาที หน้าจอสีดำก็สว่างขึ้นมา ตัวเลขและภาษาอังกฤษต่างโผล่ขึ้นมาเต็มหน้าจอ หลังจากนั้นก็หยุดลง
เย่นจิ่งเหนียนจ้องมองตัวเลขเหล่านั้น เพียงชั่วครู่ก็หันกลับมามองมู่เฉินหย่วน “DNAของพวกคุณมีความเข้ากันถึง98%... เธอมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพี่”
โมมอยอี้สั่นสะท้านไปจนถึงไหล น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ
มู่เฉินหย่วนเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไป
คุณท่านมู่เข้ามาปลอบโยนโมมอยอี้ เมียงมองมู่เฉินหย่วน ถอนหายใจก่อนจะกล่าว “เฉินหย่วน ฉันรู้ว่าเรื่องแกได้ยินในวันนี้มันมากเกินไป มันยากที่จะยอมรับได้ ฉันเองก็ผิด แต่อย่างไรเธอก็แม่ของแก เธอทำหลายสิ่งหลายอย่างก็เพื่อแก ฉันหวังว่าแกจะเคารพเธอและยอมรับเธอ”
“ผมไม่ใช่ของที่พวกคุณจะโยนไปโยนมาได้” มู่เฉินหย่วนไม่ได้บันดาลโทสะ เขาใจเย็นลงกับเรื่องที่เจอนี้ได้ เพียงแต่ความเย็นชาที่แผ่ออกมานั้นทำให้คนที่อยู่รอบด้านอดที่จะถอยหลังไปไม่ได้
สายตาเย็นชาของเขามองไปทางคุณท่านมู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “คุณบอกเธอเสียสละทุกอย่างเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เธอในฐานะคนคนหนึ่ง แม้แต่สามัญสำนึกพื้นฐานยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
“ผมคิดมาเสมอว่าผมคือเด็กกำพร้า จึงรู้สึกขอบคุณคุณ และตระกูลมู่ จึงสามารถสละทุกอย่างได้ก็เพื่อบริษัทมู่ซื่อ ที่ผมตรวจสอบภูมิหลัง ก็เพื่ออยากจะรู้ว่าทำไมผมถึงถูกทิ้ง เป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ แต่ตอนนี้พวกคุณได้บอกผมกันแล้วว่าเป็นเป็นเรื่องหลอกเด็ก”
คนที่เขาเรียกว่าพ่อมายี่สิบกว่าปี แท้จริงแล้วคือปู่แท้ๆ ของเขา และเขาก็คือของตระกูลมู่อย่างแท้จริง
ตรวจสอบเรื่องของตระกูลอเล็กซ์เลียร์ ทั้งยังเรื่องภูมิหลังของหลินเฉิงจี๋ เขายังนึกสงสารและเวทนาหลินเฉิงจี๋ แต่ไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะน่าสงสารกว่าหลินเฉิงจี๋
จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่าวันนั้นที่ถังซินโทรมาบอกเลิกเขาทั้งน้ำตา และปฏิเสธอย่างแข็งขันขนาดนั้น ก็เพราะรู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว
รู้ว่าเขานั้นเป็นพี่น้องคนละพ่อกับหลินเฉิงจี๋
เรื่องนี้มันน่าตลกนัก
ปากคุณท่านมู่สั่นระริก “เฉินหย่วน...”
“ใช่ ลูกสะใภ้ที่หายไปนานนับยี่สิบปีก็ได้กลับมาแล้ว คุณควรจะปลอบประโลมเธอให้ดีๆ นะ” มู่เฉินหย่วนแสยะยิ้ม ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เย่นจิ่งเหนียนที่เพิ่งได้สติ ก็รีบเก็บอุปกรณ์ และรีบตามออกไปทันที
“ประธานมู่ครับ นี่คือหนังสือการถ่ายโอนไปทั่วโลก และนี่คือหนังสือโอนกรรมสิทธิ์การจัดการของโอเลมอลล์ครับ” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลจากมู่เฉินหย่วน ผู้ช่วยจางจึงต้องเอ่ยอย่างระมัดระวัง
มู่เฉินหย่วนยังคงก้มหน้าทำงานต่อไป ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
ผู้ช่วยจางเพียงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
สี่วันก่อนหน้านั้น ผู้ช่วยจางไม่ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลมู่ แต่ประจวบเหมาะกับถังซินที่จากไป ทั้ง... ผู้ช่วยจางคิดว่าเป็นเพราะการจากไปของถังซินที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวของประธานมู่เย็นชาถึงขนาดนี้
ผ่านไปสิบกว่านาที มู่เฉินหย่วนถึงได้ขยับตัว นิ้วมือเรียวยาวพลิกเอกสารทั้งสองฉบับไปมา สายตามองลายเซ็นตัวบรรจงที่อยู่ข้างล่าง สายตาพลันมืดครึ้ม
เขามองไปทางกล่องใหญ่นั่น ราวกับรู้อยู่แล้วว่าข้างในนั้นมีอะไร จึงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เธอยังเป็นคนที่พูดได้ทำได้จริงๆ ก่อนจะไปยังไม่ลืมที่จะคืนของพวกนี้มาเสียด้วย”
นี่นับว่าเป็นการตัดสินใจที่จะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่
เมื่อรับรู้ได้ถึงความเดือดดาลของเจ้านายตัวเอง ผู้ช่วยจางก็สั่นสะท้าน แล้วก้มหน้ามองเอกสารในมือ
ประธานมู่ครับ ของมันไม่ได้มีแค่นี้...
ผู้ช่วยจางลอบกล่าวอยู่ในใจ เขามันช่างซวยฉิบหาย ทุกครั้งที่ประธานมู่มีเรื่องกับคุณถัง คนที่วิ่งรอกให้ก็เขา ทรมานสุดก็เขา
เป็นผู้ช่วยพิเศษที่มันยากเกินไปแล้ว
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว มือสั่นๆ ของผู้ช่วยจางก็วางเอกสารลงตรงหน้ามู่เฉินหย่วน ก่อนจะกล่าวอย่างจำใจ “ประธานมู่ครับ นี่คือใบลาออกของคุณถัง... เซ็นรับรองแล้วครับ”
เพียงสิ้นคำพูด ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในออฟฟิศประธานจากที่เย็นอยู่แล้วก็กลายเป็นถ้ำน้ำแข็งทันที
เย็นยะเยือกจนสั่นไปทั้งร่าง
และใช่ เป็นครั้งที่สองที่คุณถังลาออกจากบริษัทมู่ซื่อ น่าตื่นเต้นหรือไม่ล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักเต็มใจ ประธานจงรักของฉัน
สนุกมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่มีนิยายสนุกๆ ได้อ่าน...
สนุกมากๆๆๆ...