เจ้าหน้าที่ตำรวจตกตะลึงเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยที่พวกเขายังสืบไม่พบ
“การันต์คือใคร?” เจ้าหน้าที่สอบปากคำถามขึ้นอีกครั้ง
ส้มเปรี้ยวถูกจับมัดไว้ที่เก้าอี้ ทั้งขาและแขนของเธอไม่อาจขยับได้
ประกอบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากมายตรงหน้าเธอที่กำลังจับจ้องมองมา ทำให้เธอเหมือนถูกฝังไว้ในความหวาดกลัว
เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้บงการ เนื่องจากมีวิดีโอทั้งสองคลิปนั้นเป็นหลักฐาน
ถ้าหากเธอปฏิเสธ เธออาจจะถูกลงโทษรุนแรงขึ้น ดังนั้นวินาทีที่เธอขึ้นมาในรถตำรวจ เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะสารภาพทุกอย่างตรงไปตรงมา
ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมพร้อมจะเปิดโปงการันต์ออกมาด้วย
ทั้งสองร่วมลงมือด้วยกัน ทั้งคน สถานที่และอุปกรณ์ทุกอย่างล้วนเป็นการันต์ที่จัดการ ส่วนตัวเธอเป็นเพียงคนที่สั่งให้การทำเท่านั้น แล้วทำไมจะต้องเป็นเธอเพียงคนเดียวที่มารับผิดแบบนี้?
การันต์จะต้องรับโทษกับเธอด้วย!
เธอเป็นนางฟ้าของการันต์ ต่อให้เธอเปิดโปงการันต์ออกมา การันต์ก็คงไม่โกรธเธออย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ ดวงตาอันแดงเรื่อของส้มเปรี้ยวก็ตอบกลับไปว่า “เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมของโรงพยาบาลนิวเวอร์ เขาเป็นคนจ้างวานผู้ชายหกคนนั้นมา”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง พวกคุณเดินทางไปที่โรงพยาบาลแล้วพาตัวการันต์มาที่นี่หน่อย” เจ้าหน้าที่สอบปากคำหันไปกำชับกับตำรวจที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกสองคน ตำรวจทั้งสองคนนั้นพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องสอบสวนไป
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินทางออกไปจับกุมตัวการันต์จริงๆ ส้มเปรี้ยวก็รู้สึกวางใจไม่น้อย
ในไม่ช้าการันต์ก็ถูกนำตัวมาที่สถานีตำรวจ
เขาไม่ได้ถูกพาตัวไปห้องสอบสวนเดียวกันกับส้มเปรี้ยว แต่เป็นห้องสอบปากคำเดี่ยว
สำหรับคนที่สอบปากคำเขา คือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปจับเขามา “คุณการันต์ครับ จากคำให้การของส้มเปรี้ยว เธอบอกว่าคุณสมรู้ร่วมคิดกับเธอที่จัดการคุณมายมิ้นท์ แล้วผู้ชายหกคนนั้นเป็นคุณที่คนติดต่อมา คุณยอมรับหรือไม่?”
ตอนที่การเดินทางมา เขายังไม่ได้ถอดชุดกาวน์สีขาวออกเลยด้วยซ้ำ
สภาพของเขาในตอนนี้เป็นเช่นเดียวกันกับส้มเปรี้ยว ทั้งมือและเท้าถูกมัดไว้กับเก้าอี้ แต่เขาไม่ได้ทำหน้าซีดและตัวสั่นเหมือนส้มเปรี้ยว
ดูเหมือนเขาจะเอนหลังไปที่พนักเก้าอี้ ไม่สนใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองเลย เขายังคงเฉยเหมือนดังปกติ “ผมไม่ยอมรับ และผมไม่ได้วางแผนจัดการคุณมายมิ้นท์เลย ผมไม่ได้ไปจ้างวานหกคนนั้นมา ตัวผมกับมายมิ้นท์ไม่ได้มีความแค้นอะไรกันผมจะทำอย่างนี้ไปทำไม?”
เจ้าหน้าที่สอบปากคำเงียบไป
นั่นสินะ ตอนที่จับกุมตัวการันต์มา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของการันต์ และพบว่าเขาไม่ได้มีความคับข้องใจอันใดกับมายมิ้นท์ ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลนักถ้าบอกว่าเขาลงมือจัดการมายมิ้นท์
แต่ก็ดูเหมือนส้มเปรี้ยวจะไม่ได้โกหก เพราะเธอต้องการจะได้ลดโทษ ดังนั้นเธอไม่น่าจะพูดจาไร้สาระ ด้วยเหตุนี้คนที่โกหกคงจะเป็นผู้ชายคนนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนก็หมุนปากกาเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “จากที่พวกเรารู้มา คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับส้มเปรี้ยว และส้มเปรี้ยวก็เกลียดแค้นคุณมายมิ้นท์ จึงได้ลงมือจัดการกับมายมิ้นท์ ส่วนตัวคุณในฐานะเพื่อนสนิทของส้มเปรี้ยว หากจะช่วยเธอจัดการกับมายมิ้นท์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
แว่นตาของการันต์กระทบกับแสงไฟเป็นประกาย จากนั้นหายวับไป “ที่คุณพูดมาก็ถูก ในฐานะเพื่อนสนิทของส้มเปรี้ยวผมอาจจะช่วยเธอก็ได้ แล้วหลักฐานล่ะ ถ้าไม่มีหลักฐานเพียงพอ อย่าได้กล่าวหาผมโดยพลการ ผมอาจจะฟ้องกลับก็ได้”
เจ้าหน้าที่ตำรวจขมวดคิ้วขึ้น และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
นั่นสินะ ไม่มีหลักฐาน
ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้เลย
หลังจากยกมือขึ้นเกาศีรษะ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นก็กวักมือเรียกตำรวจคนที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปห้องข้างๆ ถามหัวหน้าณัฐ ว่าพวกเขามีหลักฐานไหมว่าการันต์สมรู้ร่วมคิดกับส้มเปรี้ยว?”
“ครับ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองไปทางการันต์จากนั้นออกไปดำเนินการทันที
แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เขากลับมาแล้วส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่มี
เจ้าหน้าที่สอบปากคำที่อยู่ตรงข้ามกับการันต์ไม่รู้จะทำอย่างไร
เมื่อคืนนี้ตอนที่เขาจับกุมส้มเปรี้ยว เขาได้จัดการรวบรวมคดีเอกสารทุกอย่าง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของคนที่ชื่อว่าการันต์ แต่ส้มเปรี้ยวเป็นคนบอกชื่อการันต์ออกมาเอง พวกเขาจึงได้รู้ว่าเรื่องนี้แท้จริงแล้วยังมีคนอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
ด้วยเหตุนี้เห็นได้ชัดว่าถ้าส้มเปรี้ยวไม่พูดออกมาเอง พวกเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าจะมีใครเพิ่มเข้ามาอีก แต่ตอนนี้ต่อให้ทุกคนรู้ว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้อีก ก็ไม่อาจจัดการอะไรได้กับผู้สมรู้ร่วมคิดคนนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีหลักฐานใด แม้แต่ส้มเปรี้ยวเองที่เป็นผู้บงการหลักก็ไม่มีหลักฐานได้เช่นกัน
“เชษฐ์ เอายังไงดี สืบสวนต่อไหม?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่ออกไปสอบถามหลักฐานจากห้องด้านข้างเอ่ยถาม
ขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบสอบสวนการันต์ลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด “คุณว่ายังไงล่ะ จะสอบสวนต่อไปทำไม ไป ไปห้องด้านข้างก่อน!”
ริมฝีปากของส้มเปรี้ยวสั่นสะท้าน “ถ้าไม่มีหลักฐาน แล้วการันต์จะเป็นอย่างไร?”
“พวกเราคงต้องปล่อยเขาไป” หัวหน้าณัฐตอบ
รูม่านตาของส้มเปรี้ยวหดตัวลง “อะไรนะ ปล่อยเขาไปเหรอ?”
“ครับ เพราะไม่มีหลักฐาน เราจึงทำได้เพียงปล่อยเขาไป ต่อให้เขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจริงๆ พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสินเขาโดยพลการ” หัวหน้าณัฐพูดแล้วมองมาที่เธอ
ทำยังไงได้ล่ะ กฎของประเทศนี้เป็นแบบนี้ เป็นประเทศที่ให้ความสนใจกับหลักฐาน
ถ้าไม่มีหลักฐาน ต่อให้เป็นอาชญากรจริงๆ ก็ทำได้เพียงปล่อยตัวออกไป
ร่างของส้มเปรี้ยวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้
หัวหน้าณัฐครุ่นคิดและพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าถ้าตามตัวชายหกคนที่ล่วงละเมิดคุณพบ เพียงแค่ชายหกคนนั้นมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการเป็นคนจ้างวานพวกเขา ก็จะสามารถลงโทษการันต์ได้”
ดวงตาของส้มเปรี้ยวเป็นประกายแล้วจ้องไปที่เขา ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “งั้นพวกคุณก็รีบไปตามหาพวกเขาสิ!”
“พวกเราพยายามตามหาอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีเบาะแสใดเลย ความเป็นไปได้ที่จะพบพวกเขาน้อยมาก” หัวหน้าณัฐขยับหมวกของเขาแล้วพูดขึ้น
ส้มเปรี้ยวโมโหมาก “ถ้าอย่างนั้นที่คุณกล่าวมาก็เท่ากับไม่มีประโยชน์อะไรเลย?”
“ผมเพียงแค่ให้ความหวังคุณเท่านั้น” หัวหน้าณัฐตอบอย่างเฉยเมย
ส้มเปรี้ยวโมโหเสียจนแทบขาดใจ
หัวหน้าณัฐลุกขึ้นยืน “นำหนังสือยอมรับสารภาพให้เธอลงนาม เดี๋ยวผมจะไปดูห้องด้านข้างหน่อย”
“ครับหัวหน้าณัฐ!”
หัวหน้าณัฐเดินตรงออกไปยังห้องด้านข้าง เมื่อพบกับการันต์ เขาก็ทำการสอบสวนการันต์อีกครั้งหนึ่ง ผลของการสอบสวนก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนก่อนหน้า ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยตัวการันต์
เมื่อเดินทางออกมาจากสถานีตำรวจ การันต์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วส่งข้อความให้แก่มายมิ้นท์ว่า “คุณเดาถูกแล้ว ส้มเปรี้ยวชี้ตัวมาที่ผม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...