เธอประมาณการว่า ไม่สามเดือนก็คือหกเดือน
เมื่อได้ยินคำตอบที่แน่ชัดของมายมิ้นท์ การันต์พยักหน้าเล็กน้อย “ ผมเข้าใจแล้วครับ”
“จะว่าไปแล้ว คุณถามสิ่งนี้ทำไมหรือคะ”มายมิ้นท์รู้สึกสงสัย
การันต์ได้ดันแว่นตาเล็กน้อย“ไม่ใช่ว่าคุณต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นเก็บลูกหลานของตระกูลกิตติภัคโสภณไว้หรือครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ งั้นเธอก็ไม่สามารถหยุดยาที่กินได้เลย มิเช่นนั้นหลังจากที่เธอออกจากคุกแล้ว เธอจะต้องปรับสภาพร่างกายของเธอใหม่อีก เมื่อถึงเวลานั้นแล้วคุณก็ต้องรอเป็นเวลานานเลย”
มายมิ้นท์พยักหน้าเล็กน้อย“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เตือนนะคะ ฉันจะทักทายทางตำรวจเองค่ะ”
“คุณจำได้ก็ดีครับ”การันต์ได้ตอบกลับ จากนั้นก็ได้พูดอีกว่า:“แล้วก็คุณด้วย ก็ต้องมาที่โรงพยาบาลมาตรวจอีกครั้งหนึ่ง ครั้งก่อนที่ได้จ่ายยาให้กับคุณ คุณน่าจะกินได้ประมาณหนึ่งแล้วหรือเปล่าครับ?”
มายมิ้นท์ยิ้มแล้วตอบกลับว่า:“ยังพอกินได้อีกหนึ่งวันค่ะ”
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย”การันต์ได้หมุนมีดผ่าตัดเล็กน้อย“งั้นหากว่าคุณไม่มีเรื่องยุ่งอะไรล่ะก็ อีกเดี๋ยวมาที่นี่หน่อยนะครับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ในตอนบ่ายฉันไม่ค่อยยุ่งมาก ฉันจะไปประมาณบ่ายสามนะคะ”มายมิ้นท์เหลือบมองดูเวลาที่มุมขวาล่างของคอมพิวเตอร์
การันต์ก็ได้เหลือบมองดูคอมพิวเตอร์ตัวเองเช่นกัน“เมื่อถึงแล้วไปที่แผนกสูตินรีเวชโดยตรงเลย ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น”
“อื้อ”มายมิ้นท์ได้ตอบตกลง
สุดท้าย ทั้งสองคนได้พูดคุยกันไม่กี่คำ ก็ได้วางสายโทรศัพท์แล้ว
ระยะเวลาก่อนจะถึงบ่ายสามนั้นยังอีกนาน ยังคงมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
มายมิ้นท์ไม่ได้รีบร้อนที่จะไป หลังจากที่ได้วางโทรศัพท์ลงแล้ว ก็ได้ทำงานต่อไป พอถึงบ่ายสองครึ่ง จึงจะลุกขึ้นมาสะพายกระเป๋าออกจากเทนเดอร์กรุ๊ปไป
หลังจากที่ถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็เป็นเวลาบ่ายสามพอดี
มายมิ้นท์ได้จอดรถให้เรียบร้อย และหลังจากที่ได้ส่งข้อความไปให้การันต์แล้ว ได้ก้าวเข้าไปในประตูโรงพยาบาลด้วยรองเท้าส้นสูง
หลังจากเข้าไปในลิฟต์ มายมิ้นท์ก็กดชั้นที่ตัวเองต้องการจะไป
ประตูลิฟต์ปิดลงอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่มันจะปิดลงอย่างสนิทนั้น จู่ๆก็มีเสียงที่เร่งรีบดังออกมาจากด้านนอกลิฟต์ว่า“รอก่อน”
เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นเคย แต่เนื่องจากได้ห่างจากประตูลิฟต์อย่างมาก ดังนั้นมายมิ้นท์จึงนึกไม่ออกว่าเป็นใครในทันใด และได้กดปุ่มเปิดประตูลิฟต์โดยทันที เพื่อห้ามไม่ให้ลิฟต์ปิดประตูอย่างสนิท
ประตูลิฟต์เปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และคนที่อยู่ด้านนอกก็รีบเดินเข้ามา มือข้างหนึ่งถือปิ่นโตเก็บอาหารร้อนไว้ มืออีกข้างหนึ่งได้จับที่ผนังลิฟต์นั้น และมีอาหารหอบเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเพื่อรีบเข้าลิฟต์แล้ว วิ่งเร็วอย่างมาก
เมื่อมายมิ้นท์เห็นคนที่ได้มาถึง บนใบหน้านั้นมีความประหลาดใจแวบวาบผ่าน จากนั้นก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
ถึงว่าทำไมฟังเสียงแล้วรู้สึกคุ้นเคยมากเลย ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง
นี่ถือได้ว่าโลกกลมพบเจอแต่ศัตรูคู่อาฆาตหรือเปล่า?
มายมิ้นท์ได้กอดอก แล้วก้าวไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ โดยรักษาระยะห่างเล็กน้อยจากคนที่เข้ามา
พูดตามความเป็นจริง เธอรู้สึกเสียใจจริงๆ ทำไมเมื่อสักครู่ตัวเองต้องกดลิฟต์เพื่อรอใครคนหนึ่งด้วย
มิเช่นนั้นเธอคงจะไม่อยู่ในลิฟต์เดียวกันกับศัตรูในตอนนี้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆนั้นเป็นใคร หลังจากที่ได้พักสักครู่ ก็ได้จัดระเบียบผมแล้วยืดตัวตรง จากนั้นก็ได้ยิ้มแล้วขอบคุณคนที่อยู่ข้างๆ “เมื่อกี้ขอบคุณนะคะ”
พอมายมิ้นท์ได้ยินคำกล่าวขอบคุณนี่แล้ว ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ช่างเหลือเชื่อ หายากซะจริง
คาดไม่ถึงเลยว่าคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์จะสุภาพขนาดนี้?
มายมิ้นท์ยิ้มด้วยความลึกซึ้งเล็กน้อย“ทำไมคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถึงไม่ลองหันศีรษะมาดูว่าฉันเป็นใครคะ ฉันรู้สึกว่าหากหลังจากที่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เห็นว่าฉันเป็นใครแล้ว คงต้องรู้สึกเสียใจที่ได้กล่าวคำขอบคุณต่อฉันเมื่อกี้แน่ๆเลยค่ะ”
เสียงนี่มัน……
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์รีบหันศีรษะมาในทันที และเห็นใบหน้าของมายมิ้นท์ที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มนั้น ใบหน้านั้นแสดงความตกใจออกมา“นี่คุณเองหรือ!”
มายมิ้นท์ยิ้มมากกว่าเดิม“คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์คะ สวัสดีตอนบ่ายค่ะ”
สีหน้าของคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ดูแย่เล็กน้อย“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เธอคิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าคนในลิฟต์นั้นเป็นมายมิ้นท์
หากรู้ว่าเป็นมายมิ้นท์แต่แรก เธอก็จะไม่เข้ามาแล้ว!
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ มายมิ้นท์เห็นว่าคนด้านนอกนั้นเป็นเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าไม่ได้เดินจากไปโดยตรง กลับได้กดหยุดลิฟต์นั้นแล้วรอเธอ
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มองไปที่มายมิ้นท์ ดวงตาของเธอดูซับซ้อน และก็มีความงุนงงเล็กน้อย
แต่ว่าเธอได้อดกลั้นไว้แล้ว กำมือแน่นและพยายามรักษาความสงบตามปกติให้ดีที่สุด แล้วพูดเบาๆ ว่า:“ฉันรู้ค่ะว่าคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์พูดเล่น วางใจเลยค่ะ ฉันไม่ได้เข้าใจผิด”
เธอคนนี้ ตอบแทนความแค้นด้วยความดีเสมอมา ใครทำดีกับเธอ เธอก็จะทำดีกลับ
แม้ว่าเธอกับคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์นั้นเป็นศัตรูกัน แต่ ณ ตอนนี้ คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ได้เป็นห่วงเธอแล้ว แน่นอนว่าเธอก็จะไม่ทำให้คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ลำบากใจ เปิดโปงในสิ่งที่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ปกปิดอยู่
เมื่อคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ได้ยินคำพูดของมายมิ้นท์แล้ว ดวงตาเป็นประกาย และรีบพยักหน้า“ใช่ใช่ใช่ ฉันพูดเล่นนั่นแหละ ฉันจะไปเป็นห่วงคุณได้ยังไงล่ะ”
“ฉันรู้ค่ะ”มายมิ้นท์ได้ตอบกลับ
เธอเห็นด้วยเร็วเกินไป จนทำให้คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ไม่รู้ต้องพูดอะไรต่อ
ทันใดนั้น บนลิฟต์ก็ได้เงียบลงทันที ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกันเลย และได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาเท่านั้น
มายมิ้นท์ได้หันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย และเหลือบมองที่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ที่อยู่ข้างๆเธอ โดยก้มศีรษะลงราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เธออยู่ในห้องเดียวกันกับศัตรู และเธอไม่ได้ทะเลาะกับศัตรูอย่างรุนแรงเลย มากไปกว่านั้นคือยังได้รับความเป็นห่วงจากศัตรูด้วย
ความรู้สึกนี้ ช่างทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเลยจริงๆ
คนที่รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินไม่เพียงแต่มายมิ้นท์เท่านั้น ยังมีคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์อีกด้วย
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ยังคงรู้สึกหงุดหงิดใจกับเรื่องเมื่อสักครู่ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อสักครู่ตัวเองถึงต้องเอ่ยปากพูดเป็นห่วงมายมิ้นท์แล้ว
ต้องเป็นเพราะว่าผลสืบเนื่องมาจากหลังดูการแถลงข่าวแน่ๆ ในอนาคตทำเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ได้บอกกับตัวเองในใจ บอกกับตัวเองว่ามายมิ้นท์ไม่ใช่ชวนชม ชวนชมได้กลับมาหาตัวเองแล้ว ตัวเองไม่ควรคิดฟุ้งซ่านอีก แล้วทำร้ายความรู้สึกของชวนชม
ในอนาคต หากพบเจอกับมายมิ้นท์แล้ว ก็ทำตัวเหมือนเมื่อก่อนเลย จะไม่ทำตัวโง่เขลาเหมือนเมื่อสักครู่อย่างเด็ดขาด
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ภายในใจที่ยุ่งเหยิงของคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ก็สงบลงเล็กน้อย
ในไม่ช้า ก็ถึงชั้นที่มายมิ้นท์ต้องการจะไปแล้ว
ลิฟต์เสียงดังติ๊งแล้วได้หยุดลง
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก มายมิ้นท์ก็ได้ใส่รองเท้าส้นสูงนั้นแล้วเดินออกไป โดยไม่ทักทายคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เลย
ความห่วงใยของคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ที่มีต่อเธอเมื่อสักครู่ เธอคิดเพียงว่ามันเป็นความไม่ตั้งใจเท่านั้น เธอไม่สามารถลืมได้ว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเธอกับคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์นั้นเป็นศัตรูกัน เพียงเพราะคำพูดห่วงใยเพียงคำเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...