ถึงแม้ว่ามายมิ้นท์จะไม่ได้ยินคำที่ชวนชมพร่ำบ่นเองคนเดียวในตอนหลัง แต่ว่าในวินาทีสุดท้ายที่ประตูลิฟต์ปิดลงนั้น เธอเห็นท่าทีของชวนชมเปลี่ยนไป
ท่าทีที่โหดเหี้ยม ดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาทีหนึ่ง ช่างทำให้รู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ
เธอรู้ ที่ชวนชมจ้องมองเธอแบบนี้ ก็เพราะคำตอบของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ชวนชมต้องการ
สิ่งที่ชวนชมต้องการ ก็คือไม่ว่าเยี่ยมบุญจะเป็นพ่อของเธอหรือเปล่า เธอก็ต้องรับปากว่าจะบริจาคไตให้เยี่ยมบุญ
แต่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมตอบตกลง นี่ถึงทำให้ชวนชมรู้สึกโกรธขึ้นมา
พูดแล้วก็น่าขำ เธอไม่รู้ว่าตกลงชวนชมไปเอาหน้ามาจากไหน และตกลงคิดยังไงกันแน่ ถึงได้รู้สึกว่าเธอจะช่วย และสมควรช่วยเยี่ยมบุญด้วย
แถมเพื่อต้องการช่วยคนแล้ว ยังถามคำถามที่น่าขำอย่างถ้าเกิดว่าเยี่ยมบุญเป็นพ่อของเธอออกมาตรง ๆ อีก
เยี่ยมบุญเป็นพ่อของเธอเหรอ?
มายมิ้นท์จ้องมองตัวเลขที่แสดงอยู่ในลิฟต์ ในใจก็ยิ้มเย็นขึ้นมา
นี่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!
ถ้าเกิดเยี่ยมบุญเป็นพ่อของเธอ แบบนั้นสำหรับเธอแล้ว ถึงจะเรียกว่าโศกเศร้า
เธอถูกตระกูลกิตติภัคโสภณเลี้ยงดูเติบโตมา แล้วถ้าเกิดมีพ่อแท้ ๆ ที่เป็นคนทำให้ตระกูลกิตติภัคโสภณต้องบ้านแตกสาแหรกขาด งั้นเธอที่แทรกอยู่ตรงกลางนี้ ควรจะทำตัวยังไงดีล่ะ?
ช่วยแก้แค้นให้ตระกูลกิตติภัคโสภณต่อเหรอ?
หรือว่ายอมแพ้ในการแก้แค้น แล้วกลับไปอยู่กับพ่อแท้ ๆ เหรอ?
เหอะ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน เธอก็ไม่มีทางเลือกทั้งนั้น
ถ้าเลือกอย่างแรก เธอก็จะเป็นปีศาจร้ายที่ลงมือได้แม้กระทั่งพ่อแม่แท้ ๆ จะต้องโดนผู้คนประณาม
แต่ถ้าเกิดเลือกอย่างหลัง เธอก็จะเป็นลูกอกตัญญูที่ทอดทิ้งพ่อแม่ที่เลี้ยงดูตัวเองมาอย่างกับไข่ในหิน ก็ยังต้องโดนผู้คนประณามอยู่ดี
ดังนั้น ไม่ว่าจะเส้นทางไหน สำหรับเธอแล้ว ก็เป็นทางตันทั้งนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้ ก็คือแก้ไขความบาดหมางของทั้งสองตระกูลไปให้หมดสิ้น ด้วยวิธีที่สันติที่สุด
สำหรับวิธีที่สันติที่สุดคืออะไรนั้น ก็คือใช้ความตายของตัวเอง มาทำให้ความบาดหมางของทั้งสองตระกูลสูญสลายไป
ขอแค่ตัวเองตายไปแล้ว ตัวเองก็จะไม่ต้องแก้แค้นให้ตระกูลกิตติภัคโสภณแล้ว
ขอแค่ตัวเองตายไปแล้ว บางทีสองสามีภรรยาเยี่ยมบุญ อาจจะรู้สึกผิดต่อตระกูลกิตติภัคโสภณ แล้วก็ปล่อยวางทุกอย่างลงตั้งแต่บัดนี้ และเลือกที่จะชดใช้บาปที่เคยทำไว้ในอดีต ในเมื่อตระกูลกิตติภัคโสภณเป็นคนเลี้ยงเธอโตมา
พอเป็นแบบนี้แล้ว ตัวเองก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่แท้ ๆ แล้วก็สามารถลบล้างความคับข้องใจทั้งหมดของตระกูลกิตติภัคโสภณไปได้ด้วย และไม่ต้องมีใครมาสูญเสียชีวิตอยู่ในความบาดหมางนี้อีก แค่เสียสละเธอคนเดียวก็พอแล้ว
ดีจะตายไป
แน่นอนว่า ก่อนจะเกิดทุกอย่างนี้ขึ้นนั้น สองสามีภรรยาเยี่ยมบุญจะต้องเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอก่อน
แต่ความจริงก็คือ พวกเขาไม่ใช่ เธอเองก็ไม่ต้องมาคิดมากว่าเรื่องบาดหมางของตระกูลกิตติภัคโสภณและตระกูลกิตติภัคโสภณจะมีปัญหาอะไร เธอสามารถช่วยตระกูลกิตติภัคโสภณแก้แค้นได้อย่างจิตใจแน่วแน่ สามารถชูดาบที่ใช้แก้แค้นใส่ตระกูลกิตติภัคโสภณได้เลย
พอพูดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ทามทอยเคยบอกว่า เบื้องบนตั้งทีมตรวจสอบธุรกิจขึ้นมา บริษัทที่จะโดนตรวจสอบในเมืองเดอะซีมีเอสซีกรุ๊ปกับอีกบริษัทอีกแห่งหนึ่ง
ตอนนี้ทีมตรวจสอบได้มาถึงเมืองน้ำรุ้งเมืองข้าง ๆ นี้แล้ว เดือนหน้าก็จะมาถึงเมืองเดอะซีแล้ว และจะเดินหน้าตรวจสอบเอสซีกรุ๊ป
เอสซีกรุ๊ปจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ แล้วตอนนี้ร่างกายของเยี่ยมบุญก็ย่ำแย่ขนาดนี้
ถ้าเกิดว่าเดือนหน้าเอสซีกรุ๊ปโดนตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไรขึ้นมา เยี่ยมบุญจะโกรธจนโมโหตายไปเลยหรือเปล่านะ?
พอนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจของมายมิ้นท์ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสุขขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ติ๊ง!
ในเวลานี้ ลิฟต์มาถึงแล้ว
มายมิ้นท์สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง พยายามอดกลั้นอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาในใจให้ลดลงไป แล้วอุ้มถุงกระดาษไว้และเดินออกลิฟต์ไป พอกลับมาถึงคอนโด ก็เริ่มล้างทำความสะอาดแล้วตุ๋นซุปขึ้นมา
พอตุ๋นซุปเสร็จ ก็เกือบจะเป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว
มายมิ้นท์หิ้วกระติกเก็บความร้อนไว้ แล้วเดินไปตลอดทางจนถึงเทนเดอร์กรุ๊ป
ทีแรก เธออยากจะส่งไปที่บริษัทตระกูลนวบดินทร์โดยตรงเลย แต่ว่าระหว่างทางได้รับสายของเลขาซินดี้เข้า บอกว่ามีเอกสารฉบับหนึ่งสำคัญมาก จำเป็นที่จะต้องให้เธอมาเซ็นด่วน เมื่อไม่มีทางเลือก ก็เลยต้องกลับมาที่เทนเดอร์กรุ๊ปก่อน
“ท่านประธาน”
“สวัสดีตอนเที่ยงค่ะ ท่านประธาน”
“จริง ๆ เหรอ?” มายมิ้นท์ลูบหน้าตาตัวเองเล็กน้อย
เลขาซินดี้พยักหน้าขึ้นมา “จริงค่ะ ในความขาวนวลแฝงไว้ด้วยความแดงระเรื่อ ดูไปแล้วดูสวยงามมากกว่าปกติ นี่มันเห็นผลงานของประธานเปปเปอร์ทั้งนั้น”
“นี่มันจะไปเกี่ยวอะไรกับผลงานของเขาด้วย?” มายมิ้นท์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ยังไม่เข้าใจความหมายของเธอ
จนกระทั่งตอนที่ได้เห็นเลขาซินดี้ไม่พูดอะไรแล้ว และบนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูมีลับลมคมในนั้น เธอถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า ทำไมเลขาซินดี้ถึงพูดว่าเป็นผลงานของเปปเปอร์
ชั่วขณะหนึ่ง สีแดงระเรื่อที่เพิ่งเลือนหายไปบนใบหน้า ก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีก มายมิ้นท์จ้องมองไปที่เธอแบบทั้งโมโหและทั้งเบื่อหน่าย “ซินดี้ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อีก ฉันจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ”
“ไม่แล้วค่ะ ไม่แล้วค่ะ ฉันไม่เล่นแล้วค่ะ” เลขาซินดี้ยิ้มแล้วก็สะบัดมือขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าตัวเองจะไม่พูดจาไปเรื่อยแล้ว
มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “โอเค เอาเอกสารมาให้ฉันเถอะ”
“ค่ะ” เลขาซินดี้นวดใบหน้าเล็กน้อย แล้วกลับคืนสู่สภาพอาจารย์ฝ่ายปกครองที่เรื่องงานก็คือเรื่องงาน และเอาเอกสารยื่นไปให้ด้วยมือทั้งคู่
พอมายมิ้นท์รับมาแล้ว ก็เซ็นชื่อไปด้วย และออกคำสั่งไปด้วยว่า “ใช่แล้ว เดี๋ยวคุณให้คนช่วยฉันเอาอันนี้ไปส่งที่บริษัทตระกูลนวบดินทร์ให้หน่อยนะ”
เธอใช้ปากกาหมึกซึมเคาะที่กระติกเก็บความร้อนที่อยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย
เลขาซินดี้ดันกรอบแว่นดำไปทีหนึ่ง “ท่านประธาน นี่คือซุปที่คุณตุ๋นให้ประธานเปปเปอร์เหรอคะ?”
เธอเดาออกมาในทันที
มายมิ้นท์เองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร พยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วพูดด้วยแววตาสั่นไหวว่า “ใช่ ก็เมื่อวันก่อนเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ใช่เหรอ ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงร่างกายเขา ดังนั้นก็เลยตุ๋นซุปให้เขาได้บำรุงสักหน่อย”
เธอไม่มีทางพูดหรอกว่า สาเหตุที่เธอต้องการให้เขาบำรุงร่างกายจริง ๆ นั้น ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะว่าเมื่อคืน
ถ้าคำพูดพวกนี้พูดออกไป ก็จะต้องโดนเลขาซินดี้พูดหลอกล้ออีกรอบแน่
ดังนั้น ยังไงเธอก็ไม่พูดดีกว่า
ผลปรากฏว่า พอได้ยินว่ามายมิ้นท์จะให้บำรุงร่างกายให้เปปเปอร์หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ เลขาซินดี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาอีก แล้วก็ยื่นมือไปหิ้วกระติกเก็บความร้อนขึ้นมา “เดี๋ยวฉันให้ยุทธเอาไปส่งให้ค่ะ เขาจะไปโรงงานทิพย์ฟ้า เป็นทางผ่านพอดีเลยค่ะ”
“อืม คุณไปดูเอาเองเลย” มายมิ้นท์พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอาเอกสารที่เซ็นเสร็จแล้วยื่นไปให้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...