รักหวานอมเปรี้ยว นิยาย บท 863

เธอกลัวว่าถ้าเธอสบตากับเขาอีก จะเกิดเหตุเลวร้ายเหมือนฉากนั้น

การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนไม่มีใครสังเกตเห็น

เนื่องจากทุกคนจับจ้องไปที่กล้องวงจรปิดตั้งแต่ต้น

หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที วิดีโอจากกล้องวงจรปิดก็เล่นจนจบ

จากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปทางพัดชาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง

เนื่องจากในวิดีโอกล้องวงจรปิดนั้นไม่มีภาพที่เปปเปอร์กับมายมิ้นท์สื่อถึงการสมรู้ร่วมคิดกับชายคนนั้นเลย นั่นหมายถึงคำพูดที่ออกมาจากชายคนนั้นว่าผู้หญิงซึ่งนั่งรถเข็นเป็นคนจ้างวานเขานั้นเป็นเรื่องจริง

ผู้หญิงซึ่งนั่งบนเก้าอี้รถเข็น และคนที่แย่งเสื้อผ้ากับมายมิ้นท์ในร้านก็คือพัดชา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บงการอยู่เบื้องหลังตัวจริงเป็นใครไม่ต้องบอกก็รู้

นั่นก็คือพัดชา

“คุณพัดชา ตอนนี้คุณมีอะไรจะพูดไหม?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถือปากกาไว้แล้วมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาลง ดูเหมือนอยู่ในภาวะตื่นตระหนก

พัดชากำมือแน่นไม่ตอบ

เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?

เธอรู้แล้วว่าเรื่องที่ตัวเธอทำความผิดเหล่านั้นถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรก็คงเป็นเพียงเรื่องตลก

เธอเพียงคิดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ ถูกเปปเปอร์ทรมานไม่เท่าไรก็ยอมรับสารภาพแล้ว

เขาไม่สนใจแฟนสาวของเขาแล้วหรือไง

เมื่อพบว่าพัดชาไม่พูดสิ่งใดออกมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้บังคับเธอ เนื่องจากพวกเขามีหลักฐานแล้ว ลำดับต่อไปก็คือดำเนินการตามขั้นตอนอื่นต่อไป

อย่างเช่นการเอ่ยถามพัดชาถึงวัตถุประสงค์ในการกระทำครั้งนี้เป็นต้น จากนั้นก็ให้เธอเซ็นเอกสาร

ทันใดนั้นเองจู่ๆ เปปเปอร์ก็พูดขึ้นว่า “คดีนี้คงไม่ได้เป็นคดีง่ายเหมือนปล้นทำลายทรัพย์สินของคนอื่นธรรมดาสินะ?”

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังจดบันทึกได้ยินประโยคนี้ก็หยุดการกระทำของเขาลงแล้วมองไปทางเปปเปอร์

“ประธานเปปเปอร์หมายความว่ายังไงครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

เปปเปอร์เม้มริมฝีปากเรียวบางของตน แล้วกล่าวว่า “วิดีโอเมื่อสักครู่ทุกคนก็เห็นแล้ว ผู้หญิงคนนี้บีบบังคับให้คนบริสุทธิ์กระทำการผิด และเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ประการที่สองนั่นก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนี้จ้างวานผู้ชายคนนั้น แล้วในระยะเวลาอันสั้นเธอจะทำความเข้าใจด้านภูมิหลังของครอบครัวเขาได้อย่างไร สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภูมิหลังของเธอค่อนข้างแข็งแกร่ง และตัวตนของเธอคงจะไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ทุกคนเห็น ข้อมูลของเธอในสำมะโนประชากรเป็นของปลอม พวกคุณควรจะสงสัยว่าทำไมเธอจึงต้องปลอมแปลงตัวเองเธอเป็นสายลับหรือเปล่า?”

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ตำรวจทุกคนก็ทำท่าทางตกใจและจริงจัง

นั่นสิ หากว่าประธานเปปเปอร์ไม่ได้เอ่ยเตือน พวกเขาก็คงคิดไม่ถึง

พวกเขาควรจะตรวจสอบให้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ถ้าหากว่าเป็นสายลับจริงๆ พวกเขาก็คงจะมีผลงาน อาจจะไม่ใช่ผลงานขึ้นหนึ่ง แต่ก็คงหนีไม่พ้นขั้นสอง

แต่หากว่าไม่ใช่ล่ะ การที่เธอปิดบังตัวตนเช่นนี้ก็นับว่าผิดปกติเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นคนคนหนึ่งอยู่ๆ ทำไมจึงต้องปลอมตัวตนของตนเอง?

หรือกำลังหลบหนีคดีอะไร?

สรุปแล้วก็คือไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ก็จำเป็นต้องไปสืบหาข้อมูลผู้หญิงคนนี้ให้ละเอียด หากเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง พวกเขาคงหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว

ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เมื่อได้ยินเปปเปอร์บอกว่าตัวตนของเธอนั้นตัวปลอม พัดชารู้สึกเหมือนสมองถูกกระทบกระเทือน ดูเหมือนมีอะไรมาระเบิด จู่ๆ ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งก็ถาโถมมาที่เธอ ทำให้เธอกดดันเสียจนใบหน้าซีดเผือดหายใจไม่ออก

เปปเปอร์รู้ว่าตัวตนของเธอนั้นเป็นตัวปลอม เช่นนั้น เขารู้หรือไม่ว่าเธอคือ......

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นั้นในใจของพัดชาก็รู้สึกสิ้นหวัง

เต็มทีเธอคิดว่าเธอสามารถปกปิดตัวตนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเปปเปอร์จะสามารถรู้ได้เรื่องตัวตนปัจจุบันของเธอนั้นเป็นตัวตนปลอม เพียงจากสิ่งของและเรื่องราวเหล่านี้เท่านั้น

วินาทีนี้พัดชารู้สึกเสียใจยิ่งนัก

รู้สึกเสียใจที่ตนเองทำอะไรด้วยความใจร้อนไม่คิดให้รอบคอบ และยืนกรานจะต่อสู้ ไม่ยอมถอยโดยให้คนไปขโมยชุดราตรีนั้นมา เพราะคิดว่าถ้าของสิ่งใดที่เธอไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้มันมา จากนั้นก็ทำหลายชุดราตรีนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ถ้าตัวเธอไม่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ เปปเปอร์คงไม่มีทางรู้ว่าตัวตนของเธอเป็นตัวตนปลอม

ตอนนี้คงจะสืบสวนต่อไปไม่ได้จริงๆ เนื่องจากตำรวจที่อยู่เวรเช้ากำลังจะมารับช่วงต่อ

คงทำได้เพียงรอให้ถึงเวลากลางวันแล้วค่อยสืบสวนกันใหม่

เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันลุกขึ้นยืน

หนึ่งในพวกเขาซึ่งเป็นผู้ที่มีอาวุโสที่สุดมองมาทางพัดชาแล้วพูดขึ้นว่า “คุณพัดชา ตอนนี้คุณกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้นต่อจากนี้คุณไม่สามารถเดินทางออกจากสถานีตำรวจได้ ขอคุณโปรดเข้าใจด้วยนะครับ”

พัดชาก้มหน้าลงแล้วไม่ได้พูดอะไรตอบมา

ตอนนี้เธอรู้ตัวเองดีว่าสถานการณ์ของตนเป็นเช่นไร และเธอคงไม่อาจเดินทางออกจากสถานีตำรวจได้ ดังนั้นต่อให้เธอพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์

เปปเปอร์เองไม่ได้หันไปเหลือบมองพัดชา เขาหันหลังเดินกลับออกไปจากห้องบันทึกปากคำ

เมื่อเดินออกมาด้านนอก เขาจงใจหยุดรอเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินออกมาพร้อมกันแล้วกำชับว่า “จับตาดูเธอให้ดี ถ้ามีอะไรผิดปกติไปให้แจ้งผมทันที”

“ครับประธานเปปเปอร์”

เปปเปอร์ตอบรับเบาๆ จากนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเดินไปทางห้องรับรองอย่างรวดเร็ว

มายมิ้นท์ยังคงนอนหลับอยู่บนโซฟา เธอไม่รู้เลยว่าเปปเปอร์เดินทางไปพบกับพัดชาจนกลับมาแล้ว

เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟาจากนั้นย่อตัวลง มองไปยังหญิงสาวที่หลับสนิท เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มของเธอออก แล้วอุ้มเธอเดินออกไปข้างนอก

ด้วยวิธีเหล่านี้ มายมิ้นท์จึงถูกตำรวจทั้งหลายมองมาด้วยสายตาอิจฉา เธอถูกเปปเปอร์อุ้มออกไปจากสถานีตำรวจแล้วขึ้นรถจากไป

เมื่อมายมิ้นท์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาสายโด่งแล้ว เธอลืมตาขึ้นถูกแสงของแดดแยงตา

เธอขมวดคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกไม่สบายตา จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานเมื่อดวงตาของเธอเริ่มเคยชินกับมันแล้วจึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่เธอลืมตาขึ้นก็พบกับเพดานอันคุ้นเคย และเตียงกับผ้าห่มที่คุ้นตา มายมิ้นท์เงียบไปในทันที เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว