นับหนึ่งกลับเข้ามาในห้อง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา คิดเรื่องที่จะย้ายออกไป ลึกๆก็แอบใจหายเหมือนกัน
พอนั่งครุ่นคิดไปสักพัก ก็ตัดสินใจได้ ว่าถึงเวลาแล้ว ที่เธอจะต้องหัดบิน ออกไปท่องโลกกว้าง สร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยสองมือสองเท้าของตัวเอง
จะเอาแต่พึ่งพาบอสตลอดไปไม่ได้ จะต้องหัดยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
ดังต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง สามารถต้านลม ต้านฝน ต้านพายุได้โดยไม่หวาดหวั่น
ถึงแม้ว่าอยากจะอยู่ตอบแทนบอส แต่เธอก็คิดได้ ว่า หากอยากจะตอบแทนเขา
เธอต้องแข็งแกร่งให้มาก พอที่จะช่วยเหลือเขาได้ และหากอนาคต เขายังไม่แต่งงานและเธอก็ยังไม่มีใคร
เพื่อตอบแทนน้ำใจเขา เธอจะได้เป็นภรรยาที่เหมาะสมและคู่ควรเคียงข้างเขาอย่างสง่างาม
ถ้าหากอยู่แต่ในความดูแลเขาตลอดไป แล้วต้องแต่งงานกับเขา
เธอรู้สึกว่ามันเหมือนการเกาะผู้ชายกิน ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีเกินไป
สำหรับคนอย่างเธอที่มีความทะเยอทะยานได้เลือดพ่อมาครึ่งหนึ่งนั้น
เธอคิดว่า หากตัวเองจะแต่งงานกับใครสักคนในอนาคต จะต้องมีความเท่าเทียมกันกับเขา
การไปอยู่ข้างนอกเพื่อพัฒนาตัวเอง ทำตามความฝัน ให้เป็นคนเก่ง มากชื่อเสียง มั่งมีเงินทอง
ไม่ใช่การทิ้งคนข้างหลังแต่เป็นการสร้างตัวเพื่อให้ฐานะเท่าเทียม
จะได้คอยเกื้อหนุนกันและกันในอนาคตและเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก
ไม่ใช่เจ้าชายกับสาวชาวบ้านที่มีฐานะต่ำต้อยไร้สกุลรุนชาติเช่นเธอในเวลานี้
สำหรับเธอแล้วบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ เมื่อรู้ว่าเขามีใจ เธอจึงเห็นเพียงเขาที่อยู่ในสายตา
แอบตั้งมั่นในใจว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอจะให้เขาสมปรารถนา เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเขา
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องแล้วไปยืนเคาะประตูห้องบอสธีร์ ก๊อกๆๆ
เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อค เธอจึงผลักประตู เดินเข้าไปในห้อง ก้าวไปหาเขาที่นั่งคุยอยู่กับมีมี่
ธีร์กับมีมี่มองหน้ากันด้วยแววตานิ่งๆ แอบลุ้นว่าเธอจะพูดเรื่องย้ายออกไปหรือเปล่า
จากนั้นธีร์ก็ย้ายสายตาไปมองใบหน้าขาวเนียนแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" คุณมีอะไรเหรอ "
นับหนึ่งยิ้มอ่อน ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบอะไร มีมี่ก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้น
" เอ่อ มีมี่ขอตัวก่อนนะคะ บอสกับน้องนับหนึ่งอยู่คุยกันตามสบายเลยค่ะ "
ธีร์พยักหน้าให้หล่อนเบาๆ
เพื่อให้บอสได้อยู่กับนับหนึ่งตามลำพังแล้ว
พอเอ่ยจบ หล่อนก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องของบอสมันที
หลังจากที่มีมี่ออกไปแล้ว ธีร์ก็ลุกจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหานับหนึ่งพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเสียงอ่อน
" ว่าไงล่ะ มาหาผมมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ หรือว่าตัดสินใจได้แล้ว "
นับหนึ่งมองหน้าเขาแล้วยิ้มอ่อน
" คุณนี่รู้ทันความคิดฉันอีกแล้วนะคะ "
เขาสบตาเธอแล้วเอ่ยขึ้น
" ก็ผมใส่ใจคุณไง ผมคิดว่า ที่คุณมาหาผม น่าจะขอออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆข้างนอก ถูกมั้ย "
นับหนึ่งได้แต่ยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ
" ค่ะ ในเมื่อคุณรู้แบบนี้แล้ว แสดงว่าคุณตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่ห้ามฉัน....ฉันเดาถูกมั้ยคะ "
ธีร์สบตากับคนตัวเล็กด้วยสีหน้ายิ้มอ่อนแล้วเอ่ย
" ถูกต้องครับ ถึงแม้ว่าผม...จะไม่อยากให้คุณไป แต่ถ้าคุณจะไป ผมก็ไม่อยากขัดใจคุณ
ผมรู้ว่าคุณคิดมาดีแล้วถึงได้ตัดสินใจมาคุยกับผม แต่ผมขอให้คุณรู้ไว้อย่างนะ "
" อะไรเหรอคะ "
นับหนึ่งเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ธีร์จึงเอ่ยตอบไปว่า
" ผมยังเป็นคุณธีร์คนเดิมของคุณตลอดไปนะ ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ลำบากแค่ไหน
ขอให้คุณอดทนแล้วฝ่าฟันมันไปให้ได้ ใช้สติแก้ปัญหา อย่าใช้อารมณ์ความแค้นส่วนตัว
เวลาไหนที่รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อยหรือต้องการความช่วยเหลือ
ขอให้นึกถึงผมเป็นคนแรก แค่คุณโชว์เบอร์หาผม ผมจะไปอยู่เคียงข้างคุณทันที ได้มั้ย "
ได้ยินดังนั้นนับหนึ่งก็โผเข้ากอดเขาทันทีด้วยความซาบซึ้งใจพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา
" ได้ค่ะ "
เธอเอ่ยเสียงสั่น น้ำตาใสๆปริ่มออกมาจากขอบตาไหลอาบแก้มลงมาเป็นสายอย่างช้าๆ
ธีร์โอบกอดเธอแน่นด้วยความรักและหวงแหนอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วถือโอกาสนี้ เอ่ยความในใจออกมา
" ผมรักคุณนะ นับหนึ่ง ผมรักคุณมาก รักในเชิงชู้สาว รักมานานแล้ว รักจนไม่อยากปล่อยคุณไป
แต่ผมก็ไม่สามารถเห็นแก่ตัว รั้งคุณเอาไว้ ให้อยู่ข้างกายได้ ผมขอรักคุณข้างเดียวแบบนี้ไปเรื่อยๆได้มั้ย "
นับหนึ่งซึ้งและอึ้งมาก เมื่อถูกสารภาพรักในตอนที่ซึ้งใจแบบนี้ เธอไม่รู้จะตอบเขายังไง
นึกถึงตอนที่ถูกชายสวมหน้ากาก กอดรอดฟัดเหวี่ยงอยู่บนเตียง
ถูกเขาจูบริมฝีปากอย่างป่าเถื่อน ครอบครองเรียวลิ้นของเธออย่างดูดดื่ม
นับหนึ่งรู้สึกเคียดแค้นมาก แววตาตกใจของเธอแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
ธีร์รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของนับหนึ่ง จึงถอนริมฝีปากออกมา
แล้วจ้องใบหน้าของเธอที่ยืนแข็งทื่อ กำมือแน่นด้วยแววตาโกรธแค้น แล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด
" ผมขอโทษนะ นับหนึ่ง ผมขอโทษ "
เขาโอบกอดเธอแล้วลูบหลังปลอบด้วยความเป็นห่วงเบาๆ
พอได้ยินเสียงธีร์ นับหนึ่งก็ได้สติกลับมา แล้วเริ่มกะพริบตาเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ
" ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณตกใจ คุณ คุณคิดว่า ฉัน ควรจะไปพบจิตแพทย์มั้ยคะ ทุกครั้งที่นึกถึง มันทำให้ฉัน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยค่ะ "
" ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเวลามันจะช่วยลบล้างความจำและเยียวยาความรู้สึกแย่ที่มีในใจของคุณเอง เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะลืมมันไปเอง
เมื่อไหร่ที่คุณมีความรัก คุณจะไม่กลัวการแสดงความรักโดยการจูบอีกต่อไป
แล้วคุณก็จะผ่านเรื่องร้ายๆที่มันฝังใจคุณไปได้อย่างง่ายดาย
แต่คุณต้องรู้จักปล่อยวางเรื่องในอดีตให้เป็นนะ บนโลกใบนี้ ไม่มีใครเกิดมาเพอร์เฟกต์หรอก
ผมเองก็มีปมในใจ ขาดความอบอุ่น มีครอบครัวก็เหมือนไม่มี เกลียดพ่อที่นอกใจแม่เป็นว่าเล่น
ต้องคอยสร้างภาพครอบครัวอบอุ่นให้คนอื่นชื่นชม มันเหนื่อยมาก
ผมถึงหนีออกมาอยู่คนเดียว ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่กลับไปข้องเกี่ยวกับตระกูลใหญ่ของพ่ออีก
แรกๆแม่ผมร้องให้ เสียใจ ทุกข์ทรมานใจมาก แต่พอปล่อยวางได้
คุณแม่ผมก็สามารถออกงานสร้างภาพคู่กับพ่อต่อไป กลายเป็นชินชาไปแล้ว ส่วนผมก็รู้สึกเฉยๆกับวิถีชีวิตแบบนั้นไปแล้ว "
การได้ฟังเรื่องราวของธีร์ทำให้ใจของนับหนึ่งสงบลงแล้วเอ่ยขึ้นชื่นชมขึ้น
" คุณเก่งมากเลยค่ะ ที่ผ่านความรู้สึกแย่ๆได้โดยไร้ซึ่งความเกลียดแค้นใดๆ
คุณแม่ของคุณก็สุดยอดมากค่ะ จิตใจดีสุดๆ ช่างเป็นผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ
เป็นความโชคดีของคุณพ่อคุณ ที่ได้เจอผู้หญิงใจกว้างอย่างคุณแม่ของคุณ สักวันคุณพ่อของคุณคงคิดได้เองค่ะ "
" อือ เพราะแบบนี้ไง ผมถึงได้เกลียดผู้หญิงที่ชอบอ่อยผู้ชายที่สุด และไม่อยากทำตัวเจ้าชู้ ไม่อยากทำให้คนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตทุกข์ใจและไม่อยากทำร้ายจิตใจผู้หญิงด้วย เข้าใจยัง "
" เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไป ฉันจะไม่ขอให้คุณเป็นงู ที่มีพิษแล้วค่ะ "
นับหนึ่งพยักหน้าเอ่ยตอบเสียงเรียบแล้วธีร์ก็โอบกอดเธออีกครั้ง นับหนึ่งเองก็สวมกอดเขาด้วยความเต็มใจเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ริษยาร้ายซ่อนรัก