สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 1024

บทที่ 1024 นางสั่นไหวยิ่ง

บทที่ 1024 นางสั่นไหวยิ่ง

วันรุ่งขึ้น เมื่อจี้ซ่งเฉิงกับฟ่านซู่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าลู่จื่อชิงและซ่งหานจือกลับเข้าเมืองแล้ว ทั้งสองคนที่ยังเมาค้างไม่มีอะไรทำจึงทำได้เพียงตามกลับเข้าเมืองไป

หลังจากกลับเข้าเมือง ซ่งหานจือแน่นอนว่าย่อมไม่ไปพบหมอหลวงอย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับหมอหลวงที่มาจากหุบเขาเทพโอสถ เรื่องสภาพร่างกายของเขาจำเป็นต้องปิดบังเสี่ยวชิงเอ๋อร์ไว้ หากนางรู้เข้า จะต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น หากเหลือเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาก็หวังว่านางจะมีความสุขแทนที่จะคอยกังวลเรื่องของเขา

แน่นอนว่าซ่งหานจือเป็นคนเห็นแก่ตัวผู้หนึ่ง หากลมหายใจสุดท้ายมาถึงจริง ๆ เขายังคงอยากให้นางอยู่เคียงข้างเขาจวบจนยามนั้น เช่นนี้จะได้เห็นนางจนกว่าจะลาลับจากโลกนี้ไป

เพียงแต่ เขาหวังว่าช่วงเวลาที่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ

เขาเพียงแค่ต้องการให้ภาพของนางสลักลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขา ไม่จำเป็นต้องชวนให้คนใจสลายเกินไป

เขาหวังว่านางจะจดจำเขาไปตลอดกาล

อย่างไรก็ตาม กลับไม่หวังให้นางถลำลึกนัก หากนางถลำลึกเกินไป อนาคตคงทุกข์ใจยิ่งแล้ว

เนื่องด้วยอารมณ์สลับซับซ้อนเหล่านี้ หลังจากเข้าเมืองหลวงมา ยังไม่ทันไปถึงสำนักหมอหลวง เขาก็ส่งสัญญาณให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาตรงมุมถนน

จากนั้นจึงมีคนมารายงานว่าหอนงคราญทางนั้นพบปัญหา

หอนงคราญมีปัญหา

หากไม่ตรวจสอบย่อมไม่รู้ เมื่อตรวจสอบแล้วจึงพบว่าหอนงคราญเป็นหน่วยข่าวกรอง

ลูกค้าส่วนใหญ่ของหอนงคราญเป็นสตรี อีกทั้งสตรีเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นสตรีสูงศักดิ์หรือเป็นคุณหนูจากที่ต่าง ๆ สตรีนั้นหลอกง่าย ทั้งยังยุยงได้ง่ายกว่า หอนงคราญจึงใช้วิธีนี้ในการรวบรวมข่าวสาร

“หน่วยข่าวกรองแห่งนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?” ลู่อี้ถามซ่งหานจือที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“เมื่อหนึ่งปีก่อนขอรับ”

“เจ้ายังพบอะไรอีก?”

“ถึงแม้จะก่อตั้งขึ้นเพียงปีเดียว ทว่าหูตาของพวกเขากลับกว้างขวางยิ่ง ที่ตรวจสอบครั้งนี้เป็นเพียงสาขาหนึ่งของหอนงคราญ แต่เรากลับพบบันทึกลับที่เกี่ยวข้องกับขุนนางในราชสำนักจากห้องลับของพวกเขา ข้าเดาว่า ที่จวนของขุนนางทุกท่านต่างมีหูตาของหอนงคราญ เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นขุนนางคนสำคัญ ๆ ขุนนางชั้นผู้น้อยไม่ได้โดนเพ่งเล็งนัก ตอนนี้ทั้งราชสำนักอยู่ภายใต้การจับตามองของหอนงคราญขอรับ”

ฉีเซียวยืนอยู่ข้างหลังนางนานแล้ว นางกลับไม่สังเกตเห็น พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่บทสนทนาภายในห้อง

“เหตุใดยิ่งพูดยิ่งเสียงเบาเล่า? หลังจากนั้นพูดอะไรนะ?” ลู่จื่อชิงพึมพำ

“อยากเข้าไปฟังหรือไม่?” ฉีเซียวเดินเข้ามาถามลู่จื่อชิง

“ท่านอาจารย์…” ลู่จื่อชิงได้ยินเสียงฉีเซียวจึงหันกลับมาส่งยิ้มหวานจ๋อยให้ “ท่านมาได้อย่างไร?”

“พ่อเจ้าให้ข้ามาหารือกัน”

“เช่นนั้นเชิญข้างใน”

“เจ้าอยากเข้าไปหรือไม่?”

“ท่านพ่อไม่ได้บอกให้ข้าเข้าไป” ลู่จื่อชิงก็อยากเข้าไปเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้รับอนุญาตจากลู่อี้ นางจะกล้าก้าวเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าวหรือ?

นางโน้มตัวเข้าไปถามฉีเซียว “ท่านอาจารย์ ครั้งนี้ข้าผ่านเขาดอกท้อมา บนเขาราวกับเมืองลับแลเชียว เจ้ายอดเขาเป็นคนงามชวนตะลึงผู้หนึ่ง นางถามถึงท่านกับข้า ยังกล่าวอีกว่าเป็นสหายเก่าแก่ของท่าน”

ฉีเซียวดีดลงบนหน้าผากลู่จื่อชิงหนึ่งที “เจ้าเด็กคนนี้ ไยเจ้าชอบฟังเรื่องซุบซิบเช่นนี้นักนะ?”

“ท่านอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่ได้เริ่มสร้างครอบครัว ในฐานะศิษย์รัก ข้าย่อมต้องเป็นห่วงเรื่องราวสำคัญของชีวิตท่านอาจารย์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ เจ้ายอดเขาผู้นั้นยังดูอ่อนโยนทั้งยังหน้าตาดี ข้าเห็นแล้วยังสั่นไหวเลย”

ประตูเปิดออก ซ่งหานจือมองลู่จื่อชิง “สั่นไหวอะไร?”

ฉีเซียวเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า “นางบอกว่าคุณชายจี้ผู้นั้นเป็นบุรุษมีพรสวรรค์ เป็นมังกรหงส์ในหมู่มนุษย์ นางจึงสั่นไหวยิ่ง”

ลู่จื่อชิงเบิกตากว้าง มองฉีเซียวด้วยสายตาเหลือเชื่อ

ฉีเซียวก่อนหน้านี้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยลับ ไต่สวนคดีมาไม่น้อย ไม่ว่าคนปากหนักเพียงใดตกไปถึงมือเขาจำต้องปริปาก บอกเรื่องที่เขาต้องการรู้ออกมาจนหมดเปลือก บัดนี้ เขากลับมาพูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่

ดวงตาของซ่งหานจือมืดมนขึ้นโดยพลัน “จริงหรือ?”

“อยู่ที่ใด?”

“หอนงคราญ” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “หอนงคราญเป็นหน่วยข่าวกรองที่เพิ่งปรากฏเมื่อปีที่แล้ว ขอเพียงพวกเรามีเงินมากพอก็ซื้อข้อมูลจากพวกเขาได้”

“หอนงคราญไม่ได้…”

“จริงอยู่ว่าหอนงคราญในเมืองหลวงถูกยึดไปแล้ว ทว่ายังมีหอนงคราญที่อื่นอีกไม่ใช่หรือ!”

ลู่จื่อชิงมองจี้ซ่งเฉิงด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าให้เราไล่ตามหอนงคราญไปหรือ? เมื่อครู่พ่อข้ากับหานจือกำลังคุยเรื่องนี้อยู่ในห้องตำรา ถึงแม้ข้าจะได้ยินไม่มาก แต่ก็พอได้ยินราง ๆ ว่าพวกเขาเอ่ยถึงหอนงคราญ หอนงคราญเพิ่งปรากฏตัวเมื่อปีก่อน บัดนี้กลับกระจายไปทั่วอาณาจักรในระยะเวลาสั้น ๆ เห็นได้ว่าอำนาจเบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล หากข้ากระทำบุ่มบ่าม ตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย พ่อข้าจะไม่ตกเป็นรองหรือ?”

“เช่นนั้นเจ้าไม่อยากช่วยซ่งหานจือหรือ?”

“อยาก”

“เจ้าอยากช่วยเขา แต่กลับไม่อยากเสี่ยงเพื่อเขา นี่หมายความว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อเขาไม่ได้มากมายอะไร”

“วิธีการยั่วยุเช่นนี้ไร้ประโยชน์” ลู่จื่อชิงจ้องมองจี้ซ่งเฉิง “ข้ารับปากกับหานจือแล้วว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม หากข้ากระทำการหุนหันพลันแล่น มีความเป็นไปได้ที่จะทำลายแผนการของพวกเขา”

จี้ซ่งเฉิงหัวเราะเบา ๆ “ก็ได้ ครั้งนี้เจ้าสมกับเป็นคนสกุลลู่จริง ๆ”

พ่อบ้านเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วเอ่ย “คุณหนูรอง คุณหนูหลี่ส่งเทียบเชิญมา เชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ”

“คุณหนูหลี่?” ลู่จื่อชิงรับเทียบเชิญมาจากพ่อบ้าน เปิดอ่านดูชื่อที่ลงนามไว้

ตัวอักษรบรรจงเล็กพร้อมกับดอกเหมยดูงดงามนั้นราวกับเป็นการประกาศสงครามกับลู่จื่อชิง โดยถามนางว่า นางกลับมานานเพียงนี้ กล้าเข้าร่วมงานเลี้ยงของพวกเขาหรือไม่

“ฮูหยินน้อย” บ่าวรับใช้เห็นสิงเจียซือเข้าประตูมาจึงคำนับ

“พี่สะใภ้ ท่านถืออะไรมาหรือเจ้าคะ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม

สิงเจียซือเห็นลู่จื่อชิงจึงกล่าว “วันนี้มีพ่อค้าต่างแดนมาสองสามคน ข้าจึงซื้อเครื่องเทศสำหรับทำอาหารมาจากพวกเขา”

“ท่านจะปรุงอาหารให้พี่ชายข้าทานกระมัง?” ลู่จื่อชิงส่งยิ้มแปลก ๆ มา “ในที่สุดพี่ชายข้าก็จะได้สัมผัสควันจากปล่องไฟในครัวแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย