สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 394

บทที่ 394 ฟางโจวอวี่ซ่อนคน

บทที่ 394 ฟางโจวอวี่ซ่อนคน

หลังจากเวินเหวินซงรายงานเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระยะนี้จบก็เห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของลู่อี้ จึงเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าจางไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ท่านกระมัง?”

“ไม่” ลู่อี้ตอบ “คุณงามความดีของเขาที่เห็นคุณธรรมมาก่อนญาติสนิทเป็นที่รู้กันดี แม้กระทั่งเบื้องบนยังยกย่องชื่นชมเขา เขาจะทำให้ข้าลำบากใจได้อย่างไร?”

เวินเหวินซง “…”

ลู่อี้ช่างร้ายกาจจริง ๆ

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับขุนนางคือชื่อเสียง นึกไม่ถึงว่าลู่อี้จะใช้ ‘ชื่อเสียง’ ผูกมัดใต้เท้าจางเอาไว้ อีกฝ่ายอยู่บนหลังเสือ จะลงก็ยาก จึงทำได้เพียงแสดง ‘ละคร’ ฉากนี้ไปกับลู่อี้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงขุนนางของอีกฝ่ายคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี

“ท่านไม่กลัวว่าเขาจะเป็นปฏิปักษ์ต่อท่าน และวางแผนทำร้ายในภายภาคหน้าหรือ?”

“เขาเป็นคนฉลาด ถึงแม้เขาและน้องชายจะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทว่าในใจเขาอยากทะยานขึ้นไปให้สูงกว่านี้ เมื่อเห็นน้องชายที่อาศัยชื่อเสียงตนไปข่มเหงผู้อื่นและคอยทำลายชื่อเสียงขุนนางที่ตนสั่งสมมา ความรู้สึกของเขาที่มีต่อน้องชายย่อมเปลี่ยนไป เพียงแต่เขายังไม่อาจตัดใจทิ้งน้องได้ บัดนี้ข้าเสนอทางออก ทั้งยังปูเส้นทางขุนนางที่ดีถึงเพียงนี้ให้เขา เขาจะเกลียดข้าได้อย่างไร? แต่ต่อให้เขาจะคิดโกรธแค้นข้า ข้าก็ไม่กลัว”

ขอเพียงแค่ก้าวหน้าเร็วกว่า ผู้ที่ต้องกังวลควรเป็นอีกฝ่ายมากกว่า

“เรื่องนี้ถือว่าจบลงแล้ว ภายหน้าอะไรจะเกิดค่อยว่ากัน ตอนนี้ปัญหาของเราคือการจับกุมเจิ้งซินเยว่ ฟางโจวอวี่ยืนกรานว่าเขาไม่เห็นเจิ้งซินเยว่ อีกทั้งยังเอ่ยว่าเขาขับไล่นางไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ใช่อนุของเขาอีกต่อไป การที่พวกเราหานางไม่พบจึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ?” เวินเหวินซงถาม

“ประกาศจับกุมนางออกไปแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล” ลู่อี้เอ่ยเบา ๆ “ศพของนักฆ่าเหล่านั้นอยู่ที่ใด? นำศพลงโลงไปแล้วหรือ?”

“ยังขอรับ เดิมทีตั้งใจว่าจะใส่โลงวันนี้ แต่ท่านกลับมาก่อนจึงรอให้ท่านไปดูแล้วค่อยนำลงโลงขอรับ”

ณ ตระกูลฟาง

หลี่หงซูกำลังส่องกระจกเขียนคิ้ว

ชิงไต้เลือกปิ่นปักผมสีแดงอยู่ข้าง ๆ มาหนึ่งชิ้น ก่อนจะลองทาบบนศีรษะของเจ้านาย “อันนี้เข้ากันกับเสื้อผ้าของคุณหนูมากเลยเจ้าค่ะ”

“เพียงแค่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องประณีตเพียงนั้น เปลี่ยนเป็นอันที่เรียบ ๆ เถอะ” หลี่หงซูเอ่ยเบา ๆ

“ก่อนหน้านี้คุณหนูชอบแบบประณีตไม่ใช่หรือเจ้าคะ ยิ่งประณีตเท่าไหร่ยิ่งดี เช่นนั้นจะได้เปรียบเทียบกับคุณหนูรองตระกูลเจิ้งที่ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าทั้งหนาทั้งหยาบ และการมวยผมก็ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา แม้กระทั้งปิ่นมุกหรูหรายังกลายมาเป็นเรียบ ๆ”

“ดูเหมือนข้าจะให้ท้ายเจ้าเกินไปแล้ว แม้แต่เจ้านายเจ้าก็กล้าดูถูก” หลี่หงซูมองชิงไต้ที่อยู่ด้านหลังผ่านกระจก “ชิงไต้ เจ้าอายุสิบแปดหรือยัง?”

“เจ้าค่ะ คุณหนู” ชิงไต้ตอบ “บ่าวอายุมากกว่าท่านหนึ่งปีเจ้าค่ะ!”

“สิบแปดแล้ว ควรเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว” หลี่หงซูกล่าว “มีคนที่ชอบหรือไม่?”

“คุณหนู…” ชิงไต้มองเจ้านายอย่างตกตะลึง “ท่านโกรธแล้วหรือเจ้าคะ? บ่าวเพียงแค่กล่าวออกไปเพียงเพราะสงสารคุณหนู ไม่ได้ตั้งใจ หากคุณหนูไม่ชอบฟัง เช่นนั้นต่อไปบ่าวจะไม่พูดอีกแล้ว อย่าไล่บ่าวไปเลยนะเจ้าคะ!”

“ชิงไต้ เจ้าก็เห็นแล้ว ตอนนี้แค่เพียงมองแวบเดียวข้าก็รู้จุดจบของตนเอง เจ้าติดตามข้าย่อมมีแต่ความลำบาก เหตุใดต้องติดตามเล่า? พวกเราสนิทกันดั่งพี่สาวน้องสาว ข้าหนีออกจากกรงแห่งนี้ไม่พ้น แต่ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดี หากเจ้ามีคนที่ชอบ ขอเพียงแค่บอกมา ข้าจะจัดการให้ เจ้ายังอยู่ในวัยที่กำลังผลิบาน อย่าได้ผิดต่อตนเองเลย”

“ผู้ใดผิดต่อตนเอง?” ฟางโจวอวี่ก้าวเข้ามา

ชิงไต้รีบร้อนคำนับ

ท่าทีของหลี่หงซูยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

นางเล่นกับปลายผมของตน จากนั้นก็ปักปิ่นทองรูปดอกเหมยด้วยตัวเอง

ฟางโจวอวี่ยืนอยู่ข้างหลังหลี่หงซู เขามองนางแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินแต่งตัวเช่นนี้จึงจะงาม”

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของหลี่หงซู

ในคืนแต่งงาน เขากล่าวว่าตนคร่ำครึน่าเบื่อ ทั้งยังบอกอีกว่าสีแดงดูไร้รสนิยม บัดนี้กลับมองว่าสวยงั้นรึ?

เพื่อสตรีอันเป็นที่รัก เขาถึงขั้นยอมก้มหัวลงแล้ว

“ทำอะไรหรือเจ้าคะ?”

“เจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการเพิ่งมาเมื่อครู่นี้ พวกเขาจะมาจับตัวเจิ้งซินเยว่ แต่ฟางโจวอวี่ปกป้องนาง เขาบอกว่าขับไล่เจิ้งซินเยว่ออกไปแล้ว บอกว่านางไม่ใช่อนุของเขาอีก เจิ้งซินเยว่เก่งกาจเรื่องเอาอกเอาใจบุรุษ เจ้าคิดว่านางจะไปจริง ๆ หรือ?”

“หรือว่า…”

“หากข้าเดาไม่ผิด เขาคงคิดจะใช้หมู่บ้านสินเดิมของข้าปลอบประโลมสตรีนางนั้นให้พักอยู่ที่นั่น เจิ้งซินเยว่เพิ่งตั้งครรภ์นี่” หลี่หงซูกล่าว

“น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”

“ชิงไต้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” หลี่หงซูลูบแก้มตนที่ถูกฟางโจวอวี่สัมผัสเมื่อครู่ “ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเจิ้งซูอวี้ เหตุใดข้าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้? หากนางกล้าที่จะขัดขืน ไฉนข้าต้องยอมแพ้เล่า?”

เวลานี้เซี่ยคุนนำสตรีสิบสองคนเข้ามาในศาลาว่าการ

นักการเกาจ้องมองแม่นางขายาวเหล่านี้ไม่วางตา

“พี่เกา เช็ดน้ำลายของท่านหน่อยเถิด” เสมียนที่อยู่ข้าง ๆ หยอกล้อเขา

นักการเกานึกว่าเป็นความจริงจึงรีบเช็ดมุมปากของตน

“ฮ่า ๆ” หลายคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาหัวเราะออกมา

“แยกย้าย ๆ!” นักการเกาฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ เซี่ยคุนแล้วเอ่ยถาม “ศาลาว่าการเราแทบจะไม่ต่างอะไรจากสำนักสงฆ์ เจ้าพาสาวงามมาหลายคนเพียงนี้คงไม่ดีกระมัง? ใต้เท้ารู้หรือไม่?”

“สาวงามทั้งหมดนี้มอบให้ฮูหยิน” เซี่ยคุนเอ่ยเบา ๆ “ท่านมีภรรยาแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงทำราวกับไม่เคยเห็นสตรีเช่นนี้?”

“ข้ามีภรรยาแล้ว ทว่ามันไม่กระทบกับการชื่นชมสาวงาม! แน่นอนว่าข้าไม่ได้คิดเป็นอื่น ข้าซื่อสัตย์ต่อภรรยาเป็นอย่างมาก” นักการเกาลอบมองแม่นางทั้งสิบสองคน “ท่านหามาให้ฮูหยินจริงหรือ? หากปล่อยให้หญิงงามเช่นนี้อยู่ข้างกายฮูหยิน ท่านไม่กลัวว่าใต้เท้าของเราจะอดใจไม่ไหวเอาหรือ?”

[1] หมาป่าตาขาว คือ คนเนรคุณ คนนิสัยโหดเหี้ยม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย