สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย นิยาย บท 809

บทที่ 809 อยากให้ข้าพระราชทานอะไรให้

บทที่ 809 อยากให้ข้าพระราชทานอะไรให้

“ท่านวางใจอะไร?”

“ข้าวางใจว่าชีวิตน้อย ๆ ของข้าจะยังครบถ้วนสมบูรณ์” ฉีเซียวขึ้นรถม้า “ตอนนี้เอวข้าไม่ค่อยดีนัก นั่งรถม้าไปจะดีกว่า!”

ลู่อี้ที่ขี่ม้าเอ่ยกับฉีเซียวที่อยู่ในรถม้า “อันที่จริงหากท่านไม่ต้องการกลับไป ข้าบอกฝ่าบาทให้ได้ อย่างไรเสียก็แค่แม่ทัพเอวไม่ดีผู้หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกอะไร”

“ไม่ต้องละ ข้ากลับไปเมืองหลวงจะดีกว่า! พวกท่านล้วนไปหมดแล้ว ข้าจะรั้งอยู่ทำอะไร? หรือจะให้วัน ๆ ข้าไปดูไร่ดูนามองพวกเขาเกี่ยวข้าวหรือ?”

“ได้ เช่นนั้นก็ไปเถอะ ร่วมทางไปพร้อมกัน”

ลู่จื่ออวิ๋นเติบโตเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดปีแล้ว

บัดนี้รูปโฉมโนมพรรณของนางดูเป็นสาวขึ้นมาอีกเล็กน้อย เป็นวัยที่เสน่ห์สะพรั่งดั่งดอกไม้ที่สุด

ลู่จื่อชิงเกล้าผมเป็นซาลาเปาสองข้างเล็ก ๆ ดูน่ารัก นางพิงอยู่กับหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกแล้วเอ่ยว่า “ห่านป่าตัวนั้นบินเร็วจริง ๆ”

ลู่จื่ออวิ๋นกำลังจะกล่าวบางอย่าง ครั้นนางหันหน้ามาก็เห็นลู่จื่อชิงกำลังเล็งธนูไปยังทิศทางของห่านป่าตัวนั้น

นางอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเองก็บอกว่ามันบินเร็วมาก ยังคิดจะยิงมันร่วงอีกหรือ?”

ลู่จื่อชิงไม่ตอบ ในทางกลับกันนางง้างธนูในองศาที่พอเหมาะ เล็งตามทิศทางที่ห่านป่าตัวนั้นบินไป

ลูกธนูพุ่งออกไปในบัดดล

รอยยิ้มบนใบหน้าลู่จื่ออวิ๋นเลือนหายไป

ธนูดอกนี้ของลู่จื่อชิง เห็นได้ชัดว่านางรู้วิธียิงจริง ๆ ท่าทางการเล็งของนางถูกต้อง แสดงว่าได้รับคำชี้แนะมา

นางไม่ได้ไม่ต้องการให้ลู่จื่อชิงเรียนยิงธนู หากแต่ครอบครัวไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังเรียนยิงธนูอยู่ เช่นนั้นนางเรียนมาจากผู้ใด?

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินว่ามีบ่าวบางคนล่อลวงนายตนเอง เห็นว่านายตนเองเป็นพวกเขาโง่เขลา ใช้กลอุบายหลอกล่อให้นายตนทำในสิ่งที่ตนต้องการ นางกังวลว่าน้องสาวจะถูกหลอกจึงอยากตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียก่อน

ลู่จื่ออวิ๋นอยากถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของลู่จื่อชิง นางจึงตัดสินใจว่าจะคอยสังเกตดู หากมีบ่าวรับใช้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง ๆ ก็อย่าได้หาว่านางไม่ปรานี

ตอนนี้อย่าเพิ่งไปขัดน้องสาวที่กำลังอารมณ์ดีเลย เพราะถึงอย่างไรประเดี๋ยวพวกเขาก็กลับถึงเมืองหลวง ถึงตอนนั้นนางคงพบ ‘ของเล่น’ ใหม่แล้ว

“คุณหนู นี่เป็นห่านป่าที่ท่านยิงหรือขอรับ?”

บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งหิ้วห่านป่าตัวหนึ่งเดินมาหา

“ว้าว ข้ายิงถูกแล้วจริง ๆ” ลู่จื่อชิงปรบมือด้วยความดีใจ “บอกผู้ดูแลรับผิดชอบอาหารมื้อกลางวันนำมันไปย่าง ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่กินเพื่อแสดงความกตัญญู”

“ขอรับ”

บ่าวรับใช้หิ้วห่านป่าเดินจากไป

ฉีเซียวนั่งอยู่ในรถม้า ในมือถือตัวหมากเอาไว้ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเป็นคนสนิทของเขา

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากรถม้าด้านหลัง มุมปากของฉีเซียวจึงหยักยกขึ้น

คนสนิทของเขาเอ่ยว่า “คุณหนูรองสกุลลู่ผู้นี้ไม่เหมือนคนสกุลลู่เลยนะขอรับ”

“นี่ท่านคิดจะปลีกตัวแล้วหรือ” ลู่อี้เข้าใจแจ่มแจ้ง ฉีเซียวต้องการคืนอำนาจ ค่อย ๆ ถอนตัวออกจากศูนย์กลางอำนาจของฮ่องเต้

ฉีเซียวยิ้มอย่างเฉื่อยชาแล้วเอ่ยว่า “หลายปีมานี้อยู่เมืองถงหยางจนข้าเคยชินแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าวันคืนที่สงบสุขเช่นนั้นค่อนข้างดีทีเดียว ข้าไม่อยากใช้ชีวิตอยู่บนคมดาบเหมือนเมื่อก่อนอีก”

ฉีเซียวไม่ได้เข้าวังไปถวายบังคม แต่ลู่อี้กลับต้องพาภรรยาและลูก ๆ ของเขาเข้าวังไปพบฟ่านหยวนซี

ชื่อเสียงของมู่ซืออวี่ในหมู่ราษฎรนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะฮูหยินขุนนาง นางได้สัมผัสกับชีวิตที่บุรุษในใต้หล้าไม่อาจฝันถึง คว้าอำนาจแท้จริงที่ขุนนางไม่อาจควบคุมได้ บัดนี้เมื่อกลับมาแล้ว ย่อมต้องเข้าไปรายงานฟ่านหยวนซี บอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันในเมืองถงหยาง

ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในประตูวัง หวังกงกงก็รออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อเห็นคนทั้งสกุลลู่มาถึงก็รีบพาข้ารับใช้ในวังด้านหลังปรี่มาต้อนรับ

“ฝ่าบาทตรัสว่า อัครมหาเสนาบดีและฮูหยินคงเหนื่อยล้าหลังจากเดินทางมาตลอดทางนี้ วันนี้อนุญาตให้นั่งเกี้ยวเข้าวังได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ลู่อี้ประกบมือคำนับ แล้วประคองมู่ซืออวี่ขึ้นเกี้ยว

ทุกคนในสกุลลู่มาถึงนอกพระตำหนักแล้ว

หวังกงกงเข้าไปรายงานก่อน ไม่นานหลังจากนั้นก็ออกมา เขาเปิดประตูพระตำหนัก เชิญทุกคนในสกุลลู่เข้าไป

“อัครมหาเสนาบดีลู่ ฮูหยินลู่ นั่งลงเถิด!” ฟ่านหยวนซีวางพู่กันในมือลง “ในที่สุดก็กลับมา นับแต่อัครมหาเสนาบดีลู่จากไป โต๊ะของข้าก็ไม่เคยว่างเปล่าอีกเลย เจ้ากลับมาแล้ว ข้าเองจะได้ผ่อนคลายเสียที ระยะนี้ฮองเฮาอุดอู้ยิ่งนัก ข้าไม่มีเวลาออกไปเดินเล่นนอกวังกับนางเลย”

“ฝ่าบาทนึกถึงกระหม่อมเช่นนี้ เป็นเกียรติยิ่งนัก” ลู่อี้เอ่ย “เพียงแต่ หากเพียงแค่คิดถึงกระหม่อม ไม่ใช่ว่าอยากให้กระหม่อมช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ให้พระองค์ นั่นคงดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“หากไม่ใช่ให้กลับมาช่วยข้าจัดการปัญหา ข้าจะอยากให้กลับมาทำอะไร? ไม่สู้ให้พวกเจ้าสองสามีภรรยารั้งอยู่ที่เมืองถงหยางดูแลจัดการที่นั่นให้รุ่งเรืองหรือ? เช่นนี้อย่างน้อยท้องพระคลังของข้าก็จะเต็ม ไม่ต้องกังวลเรื่องเบี้ยเลี้ยงทหาร เสบียงทหารอีกต่อไป” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “กล่าวถึงท้องพระคลัง… ข้าต้องขอบใจฮูหยิน หากไม่ใช่เพราะความสามารถในการเปลี่ยนซากปรักหักพังเป็นของวิเศษของฮูหยิน เมืองถงหยางคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ ว่ามาเถอะ เจ้าอยากให้เราพระราชทานรางวัลอะไรให้?”

————————

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย