ไม่นานเฉินเกอก็กลับมาถึงมหาวิทยาลัย
พอมาถึงเขาก็เดินตรงไปทางห้องเรียนของสาขาตัวเองทันที
แต่เพิ่งจะเดินไปถึงประตูทางตะวันตก ก็พบว่าทางนี้มีผู้คนที่ล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด
มีนักศึกษาจากทุกสาขายืนอยู่ที่นั่น จนแทบจะขวางถนนไว้หมดแล้ว
เมื่อเฉินเกอเห็นว่าหยางฮุยพวกเขากำลังยืนอยู่กลางฝูงชน เฉินเกอจึงเบียดผู้คนเดินเข้าไปหาเขา
และตอนนี้เองเขาถึงได้เห็นต้นเหตุของเรื่องนี้
เพราะว่าตอนนี้ตรงประตูฝั่งตะวันตกมีผู้หญิงคนหนึ่ง ถือป้ายไว้ในมือด้วยความรู้สึกต่ำต้อย
เธอก้มหน้าไว้
แต่แค่เฉินเกอมองเขาก็ดูออกว่าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เฮาหลานลันแล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ
และคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ ก็มีเมิ่งไฉ่หรู แล้วยังมีประธานคณะกรรมการนักศึกษาของสาขาอย่างเจียงเวยเวยและหวังหยาง
ตอนนี้ พวกเขากำลังถ่ายรูปอยู่ ทำราวกับว่าเฮาหลานลันเป็นพื้นหลัง!
“อ้าวไอ้เฉิน นายมาแล้วเหรอ แบบนี้มันน่าโมโหมากเกินไป! ”
หยางฮุยตบไปที่ไหล่ของเฉินเกอ
และพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
“มันก็ใช่ที่ตอนนี้เฮาหลานลันเจอกับปัญหาอยู่ แต่อาจารย์ทำเกินไปสักหน่อย รับบริจาคก็รับบริจาคสิ ทำไมต้องให้เฮาหลานลันต้องมายืนถือป้ายแบบนี้ด้วย!”
หลี่ปินพูด: “ถ้าไม่ทำอะไรแบบนี้ สาขาของพวกเราจะมีชื่อเสียงได้ยังไง? นายก็ดูตอนนี้สิ เรื่องที่อาจารย์กับหวังหยางและเจียงเวยเวยรับเงินบริจาคเพื่อช่วยเฮาหลานลัน ถูกจัดมาถึงครึ่งวันแล้ว พวกเขาให้เฮาหลานลันยืนถือป้ายอยู่อย่างนี้ แต่ในความเป็นจริงคือการโอ้อวดตัวของพวกเขาเอง”
“และเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องสำคัญของโรงเรียนขึ้นมาทันที ทางโรงเรียนพูดว่า ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จะต้องช่วยให้นักศึกษาผ่านช่วงเวลาลำบากนี้ไปให้ได้ อะไรทำนองนี้!”
จริงๆแล้วมีนักศึกษาหลายคนที่รู้เบื้องลึกของเรื่องนี้ และพวกเขาทั้งหมดรู้สึกทนไม่ได้กับเรื่องนี้
คนที่ไม่รู้ความจริงอาจจะคิดว่า พวกเธอรีบมาดูซิ เด็กผู้หญิงคนนี้น่าสงสารมากๆ เพราะว่าที่บ้านไม่มีเงินแล้ว ถึงแม้จะต้องมายืนถือป้ายอยู่กลางผู้คนมากมาย เธอก็ต้องหาวิธีรับบริจาคเงินเพื่อไปรักษาอาการป่วยของน้องสาวให้ได้
น่าสงสารจริงๆเลย!
ดังนั้น มีคนเป็นจำนวนมากจึงยอมบริจาคเงินช่วยเหลือเธอ
แต่คนที่รู้เบื้องลึก พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นแผนของเมิ่งไฉ่หรู ปัญหาได้เกิดขึ้นในช่วงเช้า เฮาหลานลันเลยได้กลับมาที่มหาวิทยาลัย เพื่อมาขอร้องให้เมิ่งไฉ่หรูช่วย
ผลก็คือเมิ่งไฉ่หรูเสนอวิธีนี้ออกมา และถ้าหากเฮาหลานลันไม่ทำตาม ก็จะไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเธอ
“ผู้อำนวยการจาง ท่านมาแล้วเหรอครับ”
เมิ่งไฉ่หรูหันไปจับมือกับผู้อำนวยการหัวล้านวัยกลางคนคนหนึ่ง จากนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาวัยกลางคนคนนั้นก็นำเงินบริจาคจำนวนสองร้อยหยวนมาหยอดใส่กล่องรับบริจาค
“ผู้อำนวยการจางคะ ถ่ายรูปร่วมกันหน่อยค่ะ!”
“ได้ได้ได้!”
แชะ!
ทั้งสองคนร่วมถ่ายรูปด้วยกันหนึ่งรูป
“โยว่! จางเทา หวังหมิง พวกนายก็มาแล้วเหรอ!”
ทันใดนั้น ก็มีเพื่อนที่อยู่สาขาอื่นของหวังหยางเดินเข้ามา และพวกเขาก็เป็นเพื่อนในสภานักศึกษาทั้งหมด
“อืม อืม ใช่!”
พูดเสร็จ พวกเขาก็บริจาคไปร้อยสองร้อยหยวน
และตามมาด้วยการถ่ายรูปร่วมกัน
เฉินเกอยืนดูอยู่ข้างล่างสักพัก ก็เห็นว่ากระบวนการในการรับบริจาคเงินก็เป็นแบบเดียวกันหมด
นี้คือการรับบริจาคที่ไหนกัน? นี่มันคือการมาอยู่ที่นี้เพื่อแสดงออกถึงเกียรติของตัวเองเท่านั้น!
เฉินเกอรู้สึกโกรธจนสีหน้าแทบเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว
และรู้สึกเห็นใจคนที่สีหน้าซีดเซียวไปหมดอย่างเฮาหลานลัน จนเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนแรกๆที่ได้รู้เรื่องปัญหาในครอบครัวของเฮาหลานลัน เพราะว่าเธอเชื่อใจเขา ก็เลยบอกเขาเป็นคนแรก
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองยังได้ปลอบใจเธอ และให้ความหวังกับเธอไป
แต่อีกหลายวันต่อมา ตัวเองก็ไม่สามารถช่วยพาเธอเดินออกมาจากความลำบากได้ทัน
จึงทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ไม่ใช่เพราะเฉินเกอมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่เขาได้เจอสถานการณ์แบบนี้ ก็จะนึกถึงตัวเองขึ้นมา จึงทำให้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าเฮาหลานลันจะไม่เหลือแม้แต่ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเกอจึงพุ่งเข้าไปกลางฝูงชนจนทุกคนแยกออก และผลักหวังหยางที่กำลังถ่ายรูปอยู่ออกไป แล้วนำป้ายที่เฮาหลานลันถืออยู่ทิ้งไป
“เฉินเกอ นาย!”
เฮาหลานลันพูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบ ไม่รู้ว่าผ่านการร้องไห้มากี่ครั้ง
“เฮาหลานลัน อย่าเป็นพื้นหลังให้กับคนพวกนี้ ถ้าพวกเขาอยากจะช่วยเธอจากใจจริงๆ พวกเขาจะไม่ทำแบบนี้กับเธอเด็ดขาด! เรื่องเงินของเธอ เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอคิดหาวิธีเอง ตอนนี้เธอกลับไปที่ห้องเรียนก่อนเถอะ!”
เฉินเกอพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความโกรธเล็กน้อย
บนโลกใบนี้ยังมีคนดีๆอีกมากมาย เมื่อมีใครคนหนึ่งลำบาก และมีอีกคนมาเห็นเข้า ยังไงซะเขาก็ต้องช่วยอีกคนอยู่แล้ว
แต่ว่าพวกเขาเมิ่งไฉ่หรูหวังหยางกลับใช้ความลำบากนี้ของเฮาหลานลันมาทำให้ตัวเองได้หน้า แบบนี้มันไร้เหตุผลเลยจริงๆ!
“เฉินเกอ! นายบ้าไปแล้วหรือยังไง?”
เจียงเวยเวยมองเฉินเกอด้วยความโกรธ เขากล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ตายแล้ว เขาอยู่ต่อที่มหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้แน่นอน!”
“ยังจะให้อยู่ต่ออีกทำไมล่ะ ฝ่ายมหาวิทยาลัยน่าจะไล่ออกเขาจากมหาวิทยาลัยแล้ว และเขาก็ไม่สามารถเดินไปสู่ถึงสถานีรถไฟของเมื่อจินหลิงได้นะ! ”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง เพราะในสายตาของพวกเขา มีบางคนที่เป็นนักโทษ แค่เขาไปแตะต้อง ชีวิตทั้งชีวิตก็ดับลงทันที
“พี่หยาง พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“แม่งเอ้ย ไอ้คนจนคนนี้ มันกล้าดียังไงทำร้ายพี่ พี่ต้องรีบโทรบอกคุณลุง ให้สั่งฆ่าครอบครัวของเขาให้หมดเลย!”
“จริงด้วยพี่หยาง อย่าปล่อยคนแบบนี้ไปเด็ดขาดนะคะ!”
“ฮือ ฮือ ฮือ พี่หยาง เลือดของพี่ไหลเยอะมากเลย!”
อยู่ๆก็มีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาล้อมรอบทันที แล้วประคองหวังหยางขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
และพวกเธอทั้งหมด ก็มองเฉินเกอด้วยสายตาที่โกรธมาก
ในสายตาของพวกเธอ พี่หยางเป็นราวกับของมีค่า มีเงินและยังหล่ออีกด้วย แต่คนที่อยู่ข้างหน้านี้ ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ได้ทำร้ายพี่หยาง พวกเธอแทบอยากให้เขาตายเป็นหมื่นๆครั้ง
“ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่นอน แต่พาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลก่อน และฉันจะโทรหาพ่อเดี๋ยวนี้! ”
หวังหยางได้รับบาดเจ็บไม่เบา อย่างน้อยๆสมองกระทบกระเทือน ทันใดนั้น เขาก็พูดประโยคหนึ่งออกมาแบบเหี้ยมโหด แล้วก็ถูกประคองไปขึ้นรถฉุกเฉิน
“เฉินเกอ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ส่วนเฉินเกอนั้น
ฮ่าฮ่า ฝากไว้ก่อนอย่างนั้นเหรอ? จะฝากไว้ทำไม!
พูดตามตรง เฉินเกออยากจะตีหวังหยางมานานแล้ว!
เมื่อก่อนตอนที่เขาถูกนักศึกษาคณะกรรมการเรียกให้ไปใช้งาน และเพราะว่าเขาทำงานช้า หวังหยางเลยได้เตะและทำร้ายเขาหลายครั้ง
อย่างเช่นช่วงแรกๆครั้งที่เขาเจอกับซูมู่หานในห้องบรรยาย เพราะว่าเขาทำรองเท้าของซูมู่หานสกปรก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าซูมู่หานห้ามไว้ เขาก็ต้องจะถูกหวังหยางตีแล้ว?
ถึงแม้ปกติเขาจะไม่พูด แต่เขาก็จำได้ดี
เมื่อสักครู่ได้ยินหวังหยางด่าตัวเองและเฮาหลานลันว่าไอ้พวกคนจน จากที่เฉินเกอรู้สึกโกรธอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นไปอีก เมื่อสักครู่นายยังยุ่งเพื่อช่วยเฮาหลานลันอยู่เลย เรื่องความรู้สึก นายแทบจะไม่มองคนอื่นเป็นคนเลย!
เพราะฉะนั้น เฉินเกอเลยได้หยิบก้อนอิฐขึ้นมาทุบเขาไป เฉินเกอรู้สึกมีความสุขและรู้สึกดีมาก!
“เหอะ เฉินเกอ นายนี่เป็นตัวของตัวเองจริงๆเลยนะ! แต่เดี๋ยวฉันจะรอดูว่าเทอมนี้นายจะได้เรียนต่ออีกได้ยังไง! เวยเวย ตอนนี้พาฉันไปพบกับคณบดีสาขาก่อน ก่อนที่พ่อของหวังหยางจะมา แล้วก็จัดการเรื่องของเฉินเกอซะ ไม่อย่างนั้นถ้าตามนิสัยของพ่อหวังหยางแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตทันที! ”
“ได้ค่ะ ครูเมิ่ง!”
เจียงเวยเวยมองเฉินเกอโดยไม่พูดอะไร แล้วส่ายหน้าไปมา
เหมือนกับกำลังพูดอยู่ว่า
นายรอตายได้เลย......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน
เรื่องนี้มีอัพต่อไหมครับ...
เอาข้อศอกแปลเหรอครับมั่วไปหมดแทนนามหญิงเป็นคำว่าผมเฉย...
กูงงกับการเขียนบทให้พระเอก,รวยมีเงิน,มีรถมีทุกอย่างแล้วก่อยังเขียนให้ดูโง่โดนดูถูกตลอดเวลา,คนเขียนบทมีปมปะเนี่ย...
555เขียนบทให้ตัวเอกโง่ดีครับ...
แล้วจะเขียนบทให้ตัวเอกโง่ไปถึงไหนละครับ...
เขียนแบบทำให้ตัวพระเอกโดนดูถูกมากไปหน่อยอ่านแล้วรำคาญ...
รออัพเดท เรื่องนี้จะมีการอัพเดทอีกไหมค่ะ...