บทที่ 571 ภาพจิตรกรรมฝาผนังหกภาพ
“ศิลาจารึก?”
“ใช่ บนศิลาจารึกยังมีลวดลายแกะสลัก ดูเหมือนจะเป็นบันทึกเหตุการณ์ในตอนนั้น ตอนหลังกระผมก็เข้ามาดูอยู่หลายวัน นอกจากสิ่งที่ดูออก นี่คือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงฉากการฝังศพในปีนั้น ซึ่งในนั้นมีตัวอักษรอยู่บางส่วนที่ดูแล้วไม่เข้าใจจริง ๆ ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี กระผมก็ได้คลายความอยากได้ใครรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และมองว่านั่นคือวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง จึงได้เก็บมันไว้ในห้องลับของผม!”
ท่านซินแสกุ่ย กล่าวขึ้น
ภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกแล้วเหรอ?
ตอนนี้เมื่อเฉินเกอได้ยินคำว่าภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขาอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเนื้อหากับสิ่งที่เขาเห็นในสุสานโบราณในวันนั้น
ภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความเชื่อขนบธรรมเนียมและแนวคิดเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ของผู้คนในช่วงเวลาต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงระดับการพัฒนาทางการเมืองเศรษฐกิจวรรณกรรมศิลปะและเทคโนโลยีของสังคมในเวลานั้นด้วย
บ่อยครั้งที่ภาพวาดจิตรกรรมเหล่านี้ มักมีการบรรยายภาพจากขุนนางชั้นสูงที่มีความเป็นห่วงเป็นใยประชาชนและประเทศชาติ เพื่อบอกเล่าการดำรงชีวิตในอดีตกาล ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนได้อีกรูปแบบหนึ่ง
เหมือนกับสุสานโบราณของเทพเจ้านายพลที่แสดงรายละเอียดของเรื่องราวที่น่าสนใจตั้งแต่วันที่ค้นพบเทพเจ้านายพลจนถึงพิธีฝังศพของเขา
เบาะแสมากมายเกี่ยวกับไท่หยางเหมิง เฉินเกอก็ได้เรียนรู้มากมายจากภาพจิตรกรรมเหล่านี้
“บนภาพจิตรกรรมแสดงวิธีการฝังศพ ผมก็เคยให้เพื่อนเก่าคนหนึ่งไปดูด้วยกัน เขาบอกว่านี่เป็นพิธีกรรมการฝังศพใต้ทะเล!”
“การฝังศพใต้ทะเล?”
ในใจเฉินเกอเกิดลางสังหรณ์ขึ้น คงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสุสานราชาสมุทรหรอกใช่ไหม?
“คุณสะดวก ให้ผมไปดูไหมครับ?”
“ถ้าหากคุณชายเฉินเกอสนใจ ก็ต้องได้อยู่แล้วครับ”
ท่านซินแสกุ่ย ทำท่าเชื้อเชิญ
เมื่อพาเฉินเกอมาถึงหลังบ้านซึ่งเป็นสถานที่ที่ตั้งห้องลับของเขา
ห้องของเขานั้นทำจากหินแกรนิตสีเขียวอมน้ำเงิน ความยาวประมาณห้าจั้งกว้างสามจั้ง ภายในห้องว่างเปล่าและมืดมิด มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมวางอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่ เปลวไฟขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วพุ่งขึ้นเป็นระยะ ๆ พร้อมกับเปล่งแสงจาง ๆ
และที่ด้านข้างของห้องลับก็มีแผ่นศิลาหินหกแผ่นวางอยู่
บนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยของตะไคร่น้ำ
นี่คือภาพจิตรกรรมหกแผ่น
เฉินเกอรับตะเกียงน้ำมันจากมือท่านซินแสกุ่ย และยืนอยู่ข้างภาพจิตรกรรมนั้น และชื่นชมมันอย่างพิถีพิถัน
เฉินเกอพบว่าตัวอักษรบนนั้นเหมือนกันกับที่เขาเห็นบนสุสานโบราณก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน
คิดดูแล้วมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับในภาพจิตรกรรมเหล่านั้น
เฉินเกอดูอย่างละเอียดก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า ภาพจิตรกรรมนี้...ดูเหมือนจะเป็นฉากตอนที่ฝังศพผู้หญิงในชุดขาว?
เขาเกิดความตึงเครียดไปหมดไม่กล้าทิ้งร่องรอยใด ๆ
ไห่เฉิง ในเวลานั้นยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ชาวบ้านดำรงชีพด้วยการจับปลาและตัดขาดจากโลกภายนอก
ภาพจิตรกรรมบรรยายไว้ว่า ในช่วงเช้าวันหนึ่ง กลับมีกลุ่มกองทหารแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้น
เพราะพวกเขาแบกโลงศพขนาดมหึมาโลงหนึ่งมา
ผู้นำขบวนคือชายชราในชุดคลุมยาว
และชายชราสวมชุดในภาพจิตรกรรมนี้ก็เหมือนกับขอทานชราที่ปรากฏตัวในอาณาจักรอีกครั้งในภายหลังในภาพจิตรกรรมฝาผนัง
เป็นเขาอีกแล้ว
นี่น่าจะพูดได้ว่าเรื่อราวหลังจากที่เขาทำให้หญิงชุดขาวแยกกับเทพเจ้านายพล ได้แล้ว เขาพาโลงศพของหญิงในชุดขาวเดินทางมาถึงที่นี่
ในใจของเฉินเกอยิ่งเกิดความมั่นใจ ในโลงศพนั่นก็คือหญิงในชุดขาว
และที่นี่ก็คือที่ที่หญิงชุดขาวกำลังจะไป
บนภาพเล่าว่า วันนั้น คนในหมู่บ้านชาวประมงกลับมาหมดแล้วและต่างประหลาดใจที่ชายชราคนนั้นนำโลงศพมาที่นี่
ผู้เฒ่าแห่งหมู่ชาวประมงเข้าไปถามว่าในโลงศพนั้นเป็นใคร
ขอทานคนนั้นก็ตอบว่าเป็นนางฟ้าที่ตกลงมาจากท้องฟ้า!
ทันใดนั้นทุกคนในหมู่บ้านชาวประมงต่างพากันก้มทำความเคารพโลกศพนั่น
จากนั้นผู้เฒ่าก็ได้ถามขึ้นอีกว่าแล้วนำพานางฟ้ามาที่แห่งนี้ทำไม?
ขอทานเฒ่าพูดว่าจะฝังเธอไว้ที่นี่ ยิ่งกว่านั้นยังนำเงินทองจำนวนมากมอบให้แก่ผู้เฒ่า ให้เขาเกณฑ์ชาวนาในละแวกพื้นที่ ให้พวกเขาออกไปสร้างสุสานใต้ทะเลสุสานหนึ่ง
ในเวลานั้น ชาวบ้านทุกครัวเรือนต่างได้รับแจกเงินทองเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังทำการซ่อมแซมให้กับนางฟ้าดังนั้นจึงมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ชาวบ้านโดยรอบในหมู่บ้านชาวประมงต่างร่วมด้วยช่วยกัน
ภายในเวลาอันสั้นชาวบ้านก็แปดพันคนก็มารวมตัวกัน
ช่วยกันออกทะเลไปสร้างสุสานเพื่อนางฟ้า
และให้ชื่อว่า วังเทพธิดา ไม่ได้ชื่อ วังราชาสมุทร เหมือนอย่างที่เรียกกันในปัจจุบัน
ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งปีภายใต้การชี้แนะของท่านผู้อาวุโส ในที่สุด วังเทพธิดา ก็เสร็จสมบูรณ์
ในตอนนั้นทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่สิ่งนี้น่าตื่นตะลึงราวกับสวรรค์
ในนี้บอกว่าพวกเขามาถึงวังเทพธิดา ที่ใต้ทะเลกลับพบกับมังกรตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มันกลิ้งไปมาอยู่กลางทะเล
หรือจะพูดว่ามันกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่เหนือ วังเทพธิดา
เพื่อช่วยให้มันหลุดพ้นจากความเจ็บปวด ขอทานเฒ่าโจมตีไปที่หัวและจบชีวิตของมัน
จากนั้นก็เกิดฝนฟ้าคะนองพร้อมเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า
จนเรือของพวกเขาเกือบจะพลิกคว่ำ
ทุกคนต่างหวาดกลัวจนถึงขีดสุด พวกเขาคุกเข่าลงสวดอ้อนวอน
ภาพวาดภาพที่ห้า
เป็นการบอกเล่าว่าโลงศพของสาวชุดขาวถูกส่งลงไปใต้น้ำ รวมทั้งเจ้ามังกรยักษ์ก็ถูกฝังร่างไว้ที่แห่งนี้ด้วย
แสดงให้เห็นถึงข้อมูลว่า วังเทพธิดา แห่งนี้อยู่ใต้ทะเลลึก มันถูกสร้างเหมือนกับวังมังกรใต้ทะเลลึก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะขอทานเฒ่าวคนนั้นมีพลังวิเศษที่กล้าแกร่ง เกรงว่าคงไม่มีทางที่ใครจะลงไปได้หรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานมาก
เพราะมีคำอธิบายอยู่ที่นี่ ก่อนที่ลงทะเลขอทานเฒ่าได้ให้บางสิ่งกับคนเหล่านี้
ภาพวาดภาพที่หก
นี่คือสิ่งที่ทำให้เฉินเกอรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหลังจากที่ทุกคนขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือแล้วนั้น ทันใดนั้นก็ลากโลงศพออกมาอีกหนึ่งโลง
มันเป็นโลงคริสทัล
และมีขนาดไม่ใหญ่ เฉินเกอสำรวจดู ข้างในนั้นคงจะไม่ใช่ร่างของผู้ใหญ่
ทุกคนดูแลมันด้วยความระมัดระวัง
แต่ในเวลานี้เอง มีใครคนหนึ่งไม่ทันระวังและหลุดมือ
โลงนั้นถูกกระแทกจนพลิก...
เอ๊ะ?
แต่เมื่อถึงตรงนี้เรื่องราวในภาพจิตรกรรมก็จบลง
เฉินเกอคาดเดา นี่คงจะเป็นเรื่องราวของหนึ่งในสามสิบหกคนที่ขึ้นเรือไปได้ทำการบันทึกเอาไว้
แต่ที่ทำให้เฉินเกอประหลาดใจคือโลงคริสทัลโลงเล็กนั้นมาจากไหน?
ไม่ได้ดูจนจบ มักจะทำให้เฉินเกอรู้สึกเคว้งอยู่ในใจและไม่ได้อรรถรส...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน
เรื่องนี้มีอัพต่อไหมครับ...
เอาข้อศอกแปลเหรอครับมั่วไปหมดแทนนามหญิงเป็นคำว่าผมเฉย...
กูงงกับการเขียนบทให้พระเอก,รวยมีเงิน,มีรถมีทุกอย่างแล้วก่อยังเขียนให้ดูโง่โดนดูถูกตลอดเวลา,คนเขียนบทมีปมปะเนี่ย...
555เขียนบทให้ตัวเอกโง่ดีครับ...
แล้วจะเขียนบทให้ตัวเอกโง่ไปถึงไหนละครับ...
เขียนแบบทำให้ตัวพระเอกโดนดูถูกมากไปหน่อยอ่านแล้วรำคาญ...
รออัพเดท เรื่องนี้จะมีการอัพเดทอีกไหมค่ะ...