บทที่ 748หมุ่ตึกหู้หลง
“เทศกาลใต้ดิน มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานแล้ว และเป็นพิธีที่มักจะจัดขึ้น พร้อมกับดึงดูดให้ของที่มีมูลค่าสูงนั้น ปรากฏตัวขึ้นในงาน”
หลินจิ่วพูดขึ้น
“ของที่มีมูลค่าสูงเหรอ คือสิ่งของที่บรรดาผู้ฝึกตนนั้น ใช้ประกอบกับการบำเพ็ญเพียรใช่ไหม”
เฉินเกอเข้าใจ แล้วก็พยักหน้า
“ใช่แล้วครับ นายท่าน และบางครั้ง ก็ไม่ใช่เพียงแค่เป็นของที่ใช้ประกอบการบำเพ็ญเพียรนะ แถมยังเป็นอาวุธที่มีอานุภาพสั่นฟ้าสะเทือนดินได้ด้วย หรือสำหรับคนธรรมดาแล้ว เป็นแค่สิ่งยั่วยุกิเลสเท่านั้น แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว มันคือสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้เลย”
“เมื่อมีของเหล่านี้ ก็ต้องย่อมมีการแย่งชิง ดังนั้น ในเวลานี้ จึงได้มีผู้ฝึกตนได้พยายามเข้ามาสู่ภูมิของมนุษย์ เพื่อที่จะมาแย่งชิงสิ่งของเหล่านี้”
“และแน่นอนว่า คนธรรมดาบางคน อาจจะได้ครอบครองอาวุธเหล่านี้ แต่ว่า ไม่รู้ว่านายท่านสังเกตเห็นหรือไม่ว่า คนธรรมดาที่ได้ครอบครองอาวุธเหล่านี้ไว้ ครอบครัว หรือผู้อยู่เบื้องหลังนั้น ย่อมจะได้รับการช่วยเหลือจากผู้ฝึกตนรายอื่น ๆ ที่พยายามคอยควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ”
หลินจิ่วได้เล่าไปเรื่อย ๆ
เมื่อเฉินเกอฟังจบ ก็พยักหน้า
ซึ่งตระกูลของตัวเองนั้น ก็มีอาวุธเหล่านี้อยู่จริง ๆ ถึงแม้ว่าจะดูไม่มีอะไร แต่หากจะพูดไปแล้ว เบื้องหลังก็ยังมีตระกูลเฉินที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
หากเป็นตระกูลของคนธรรมดา ๆ ได้รับมันไป ก็คงจะเกิดความวุ่นวายที่เกิดความเสียหายไม่เบา
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่นายเข้ามาสู่ภพของมนุษย์เหรอ เพราะว่า จะมีผู้ฝึกตนจำนวนมากแฝงซ่อนตัวมาจนถึงที่นี่ และไม่แน่ว่า รอบ ๆ ตัวของพวกเราก็มีใช่ไหม”
เฉินเกอได้ถามขึ้น
“นายท่านปราดเปรื่องครับ ถ้าหากผมไม่ใช่ซ่อนตัว แล้วถูกผู้ฝึกตนรายอื่น ๆ พบเข้า ผมก็จะโดนลอบเล่นงานได้ง่าย ๆ ครับ”
หลินจิ่วพูด
“แบบนี้ ที่ตระกูลว่างได้จัดงานแข่งขันประเภทนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นการตบตาหรอกเหรอ จากนั้น ผู้ที่ได้ไป ค่อยจะได้รู้สึกว่ามันเหมาะสมใช่ไหม”
เฉินเกอพูด
“ใช่ครับ นายท่าน เทศกาลใต้ดินนี้ จะพูดไปแล้ว ก็ไม่ต่างกับงานที่จัดขึ้นเพื่อประลองฝีมือนั่นแหละครับ เพราะในงาน ก็จะมีผู้ฝึกตนจำนวนมากเข้าร่วม โดยจะแฝงตัวเข้ามากับนักธุรกิจรวย ๆ หรือคนธรรมดา ให้ทำหน้าที่ประมูลแย่งของเหล่านั้นมาให้กับตัวเอง”
“ซึ่ง ผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้ หรือตระกูลที่ประมูลไปได้นั้น ก็จะได้รับอำนาจในการสั่งการ และการค้นพบซากเทพที่ภูเขาไท่อูนั้น ก็ได้ยกย่องให้ตระกูลดังกล่าวนั้น มีอำนาจในการสั่งการ ซึ่งก็เหมือนกับ ท่านประมุขของบู๊ตึ้งนั่นแหละครับ”
“เทอืกภูเขาไท่อู ที่นี่ มีการค้นพบซากของเทพเหรอ”
เฉินเกอได้ถามขึ้น
“ใช่ครับ มีการค้นพบแล้ว”
“งั้นถ้าตามที่นายพูด ตระกูลว่างเป็นคนจัดงานครั้งนี้ขึ้น และก็เป็นผู้ร่วมงานด้วยใช่ไหม”
เฉินเกอถามขึ้น
“ถูกครับ แต่เพียงแค่ ผู้จัดนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีอำนาจเสมอไป ปีนี้ ผมได้สำรวจอย่างลับ ๆ แล้ว ไม่พบว่ามีผู้ฝึกตนรายอื่น ๆ แฝงตัวมา มีเพียงผมที่แฝงอยู่ในตระกูลต้วนเท่านั้น”
เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว เฉินเกอก็เข้าใจความเป็นไปเป็นมาของเรื่องทั้งหมดแล้ว
แล้วก็นึกไปถึง จดหมายที่ท่านซินแสกุ่ยนั้น ได้มอบให้แก่ตัวเอง
อาจารย์ให้ตัวเองนั้น เข้าร่วมงานเทศกาลใต้ดินที่ตระกูลว่างได้จัดขึ้น ซึ่งก็คงอยากให้ตัวเองได้เข้าร่วมงานครั้งนี้นั่นแหละ
ไม่แน่ว่า ซากเทพที่ภูเขาไท่อูนั้น อาจจะเกี่ยวพันกับดานเถียนที่เป็นความลับซ่อนอยู่กับตัวเองก็เป็นได้
แต่ว่า เฉินเกอก็ได้เข้าใจความหมายของท่านซินแสกุ่ยแล้วว่า ทำไมจนถึงตอนนี้ยังต้องซ่อนตัวอยู่
ที่จริงแล้ว เมืองจี้โจวนั้น ดูเหมือนว่าจะสงบ แต่ก็ได้มีการเคลื่อนไหวและจัดการกันอย่างลับ ๆ
และก็ไม่รู้ว่า มีผู้ฝึกตนได้เข้ามายังที่นี่เยอะเท่าไรแล้ว
ในเมื่อท่านซินแสกุ่ยจะส่งสัญญาณให้ตัวเองแล้วว่า ซากเทพอันนี้มีประโยชน์ต่อตัวเอง
อย่างนั้น เฉินเกอต้องเอามันมาครอบครองให้ได้
ถึงตอนนี้ เฉินเกอจะมีฝีมือที่เก่งมาก พร้อมทั้งยังมีหูตาที่ช่วยสอดแนม หรือรวมไปถึงความสามารถที่มีแล้ว
แต่คำสั่งสอนของจิ่วโล๋หวางที่เคยสอนไว้นั้น ทำให้เฉินเกอได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งของ สัจธรรมที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ดังนั้น เฉินเกอเลยไม่ทะนงตน
เมื่อได้คุยกับอาจิ่วแล้ว ก็ทำให้ตัวเองนั้น คิดบางอย่างขึ้นได้
ตัวเองก็สามารถแฝงตัวในตระกูลอื่นได้ จากนั้น ก็ค่อย ๆ สำรวจดูผู้ฝึกตนที่มาที่นี่ ดูสิว่า พวกเขานั้น จะเป็นรูปร่างหน้าตาแบบไหน หลังจากนั้นค่อยคิดวางแผนต่อไป
“ที่จัดงานเทศกาลใต้ดินอยู่ที่ไหน”
เฉินเกอคิดแล้ว ก็ได้ถามขึ้น
เมื่อเห็นเขา ราวกับว่าเจอกับตัวเองในครั้งอดีตที่ผ่านมา
เฮอะ ๆ
คิดได้ดังนั้น เฉินเกอเอง ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นไม่ได้
มีคำพูดที่ว่า
คนเก่ง ๆ สองคน อาจจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ว่า คนสองคนที่มีชะตากรรมชีวิตที่ลำบากเหมือนกัน ต้องเป็นเพื่อนกันแน่นอน
เพราะว่าในที่มืดไร้แสงสว่าง คุณจะพบว่า หากคุณได้เดินไปกับคนที่เหมือน ๆ กันกับคุณนั้น นี่มันคือเรื่องที่ทำให้คุณเองนั้นมีความสุข
หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ จึงได้ทำให้คุณทั้งสองคนนั้น ได้เข้ามาอยู่ใกล้กัน
เมื่อเดินออกไปจนพ้นประตู ก็เห็นว่าเซียวเหยียนนั้น ถือโทรศัพท์เดินไปเดินมา
ตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะรวยแล้ว แต่ก็ยังดูสมถะอยู่
เมื่อเห็นเฉินเกอและเฉินเปียวเปียวเดินออกมา
เซียวเหยียนก็รีบวิ่งเข้ามาหา แล้วพูดขึ้นว่า “พี่เฉิน พี่เปียวเปียว”
“เซียวเหยียน นายบอกในวีแชตว่า มีเรื่องให้ช่วย เรื่องอะไรเหรอ”
เฉินเปียวเปียวพูดขึ้น
“เป็นเรื่องของปู่ผมครับ หลุมศพของปู่ผม ที่ฝั่งอยู่บนเขาภูเขาเสี่ยวเวย แต่ว่ามีนักพัฒนาที่ดินเขามาบอกว่า ช่วงนี้ที่ หมุ่ตึกหู้หลงนั้น จะจัดกิจกรรมขึ้น แล้วต้องใช้พื้นที่เขาลูกนี้ด้วย แล้วพวกเขาจะรื้อหลุมฝังศพของปู่ผมทิ้งด้วย”
“ผมไปขอร้องพวกเขาแล้ว แต่ก็โดนไล่กลับมาครับ ผมก็เลยอยากจะมาถามพี่เปียวเปียวว่า พอจะไปคุยกับพวกเขาหน่อยได้ไหมครับ ให้พวกเขาให้เวลาผมหน่อย ผมจะได้ย้ายหลุมศพของปู่ผมไปที่อื่นได้ครับ”
เซียวเหยียนพูดพร้อมกับมีอาการขอบตาแดง
“นี่……”
และเฉินเปียวเปียวเองก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เพราะ ตอนนี้ตระกูลเฉินนั้น ไม่เหมือนกับตระกูลเฉินเมื่อก่อนแล้ว สำหรับเรื่องหมุ่ตึกหู้หลงนี้ คงจะช่วยพูดอะไรไม่ได้
“เธอเองก็ไม่ต้องรีบร้อนใจไป ไปเถอะ เดี๋ยวพวกเราไปดูที่หมุ่ตึกหู้หลงก่อน ไปแล้ว เดี๋ยวค่อยคิดหาวิธี”
ในเวลานี้ เมื่อเฉินเกอเห็นเฉินเปียวเปียวดูลำบากใจ เซียวเหยียนเองก็ดูเดือนเนื้อร้อนใจเป็นอย่างมาก จากนั้น เลยได้พูดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน
เรื่องนี้มีอัพต่อไหมครับ...
เอาข้อศอกแปลเหรอครับมั่วไปหมดแทนนามหญิงเป็นคำว่าผมเฉย...
กูงงกับการเขียนบทให้พระเอก,รวยมีเงิน,มีรถมีทุกอย่างแล้วก่อยังเขียนให้ดูโง่โดนดูถูกตลอดเวลา,คนเขียนบทมีปมปะเนี่ย...
555เขียนบทให้ตัวเอกโง่ดีครับ...
แล้วจะเขียนบทให้ตัวเอกโง่ไปถึงไหนละครับ...
เขียนแบบทำให้ตัวพระเอกโดนดูถูกมากไปหน่อยอ่านแล้วรำคาญ...
รออัพเดท เรื่องนี้จะมีการอัพเดทอีกไหมค่ะ...