ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 915

วันนี้ชิงฮว่าแต่งตัวสีสันสวยเหมือนดังหยกเขียว เอวของนางพลิ้วไหวดั่งต้นหลิว เดินอยู่ข้าง ๆ ฉู่รั่วซีมองซ้ายทีแลขวาทีอย่างมีชีวิตชีว่า ช่างงดงามหยาดย้อย

เมื่อครู่นี้แอบเห็นว่ามีบุตรชายของเหล่าขุนนางสองสามคนก้าวเข้าไปพูดคุยด้วย นางมีท่าทีอ่อนโยนละเมียดละไม ขยับตัวพลิ้วไหว ดวงตามองต่ำแย้มยิ้ม ทำให้ใครที่ได้เห็นต่างพากันเคลิบเคลิ้มจนไม่อาจถอนตัวได้

อยู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง จากประสบการณ์ในการอ่านใจคนได้หลายปีของข้า บอกได้เลยว่าคุณชายที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยพวกนั้นไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน นางอย่าได้ถูกคนเหล่านั้นใช้คำพูดไพเราะเสนาะหูอะไรพรรค์นั้นหลอกลวงไปเป็นอันขาด

แต่จะว่าไปแล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า? ข้าเอาแต่ผลักไสนาง ทำไมอีกด้านหนึ่งถึงได้เอาแต่คิดเรื่องนางไม่หยุดกันล่ะ?

จิตใจไม่อยู่กับเหนือกับตัวรู้แค่เพียงว่า เสี่ยวอวิ๋นเช่อได้เตรียมกล่องที่ว่างเปล่าเอาไว้ ให้อวิ๋นเย่ว์กับอวิ๋นเฉินมุดตัวเข้าไปแล้วก็ปิดฝากล่อง หลังจากแกล้งทำเป็นเล่นกลสักพักก็เปิดฝากล่องออก เด็กน้อยทั้งสองคนก็จะหายตัวไป

รอบ ๆ ด้านเต็มไปด้วยเสียงอุทานดังขึ้น แต่ตัวข้าไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร เพราะถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจกลไกที่ลึกลับของมัน แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเพียงวิธีพรางตาอย่างหนึ่งเท่านั้น ในกล่องมีกลไกติดตั้งไว้อยู่แล้ว และใต้เวทีนี้ก็จะต้องมีทางลับอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น ชิงฮวนกับญาติผู้พี่ก็หายตัวไปเช่นกัน

มีบางคนขึ้นไปบนเวทีเพื่อค้นหา แต่ในกล่องกลับว่างเปล่า ทั้งครอบครัวหายไปราวกับระเหยไปอย่างไงอย่างนั้น การแสดงในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก

หลังจากนั้นอวิ๋นเช่อก็ใช้กล่องใบที่ว่างเปล่าใบนั้นเปลี่ยนร่างชิงฮวนกับญาติผู้พี่ที่ใส่ชุดการแสดงออกมา และทั้งสองคนก็ถือลูกท้อขนาดใหญ่เท่าชามยักษ์ไว้ในมือ จากนั้นก็ถวายให้ฝ่าบาทด้วยความเคารพ และก้าวลงจากเวทีออกไปยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ

ตาเฒ่าฮ่องเต้รู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง จากนั้นก็มอบรางวัลให้อวิ๋นเช่อหลานรักของเขา

ในเวลานั้นนั่นเองมีขันทีและนางกำนัลเดินเข้าแถวกันมายาวเหยียด ในมือของทุกคนถือถาดที่มีสีแดงชาดเข้ามา ด้านบนคลุมด้วยผ้าไหมสีเหลืองทองอร่าม ไม่รู้ว่าสิ่งที่วางอยู่ในนั้นคืออะไร

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าฮ่องเต้ก็หยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นและยกถาดที่อยู่ในมือขึ้นเหนือศีรษะ

ตาเฒ่าฮ่องเต้ยกมือขึ้น ดนตรีที่บรรเลงเพลงอยู่ก็หยุดลง คนของกรมการจัดงานเลี้ยงรับรองก็โค้งคำนับถอนตัวออกไป

ทันใดนั้นทุกคนก็นิ่งเงียบลงในทันที

ตาเฒ่าฮ่องเต้ลุกขึ้นมา และค่อย ๆ กวาดสายตามองขุนนางบุ่นบู๊ที่อยู่ด้านล่างด้วยแววตาที่สงบนิ่งและเย็นชา

พระองค์กระแอมลำคอก่อนเอ่ย “วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของข้า ข้าใช้ชีวิตมาแล้วหกสิบปี ครองราชย์มาสามสิบปี และปกครองด้วยความสุขุมรอบคอบ ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ทุ่มเททั้งสติปัญญาและแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาความสงบสุขของฉางอัน พร้อมกับสร้างบารมีและพลังอำนาจให้กับฉางอัน ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข สร้างสังคมที่ดีให้ ตนเองจะได้ไม่รู้สึกละอายใจต่อบรรพบุรุษมู่หรง คุณงามความดีที่ทำในตอนนี้จะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นหลังไปอีกหลายร้อยหลายพันปี

อย่างไรก็ตาม! ตัวข้าก็อายุมากแล้ว ช่วงนี้ค่อนข้างอ่อนล้าและหมดแรงง่าย อีกทั้งสายตายังฝ้าฟางตามอายุ ไม่ได้มีกำลังที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการอีกแล้ว และองค์รัชทายาทมู่หรงฉีก็มีความกล้าหาญที่จะผลักดันสิ่งใหม่ ๆ ด้านการบริหารบ้านเมืองก็โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้ว ส่วนพระชายาฉีเหลิ่งชิงฮวนก็รักประชาชนเหมือนดั่งลูกหลาน นางมีทั้งความรู้ที่กว้างขวาง มีทั้งคุณธรรมมีเมตตา ทำอะไรก็เข้มงวดกวดขันระมัดระวัง”

พระองค์หยุดพูดพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงดังขึ้นมา “มู่หรงฉี เหลิ่งชิงฮวนก้าวมาข้างหน้ารับราชโองการ!”

ทุกคนหันหน้าไปมองญาติผู้พี่และชิงฮวน ในช่วงเวลานี่ทุกคนต่างมีลางสังหรณ์อยู่ในใจเหมือน ๆ กัน เพราะฟังจากคำพูดของฝ่าบาทแล้วดูเหมือนว่าจะมีความนัยบางอย่างในคำพูดให้พอเดาได้

เป็นไปได้ไหมว่าฝ่าบาทต้องการสละราชบัลลังก์ก่อนกำหนด และไปเสพสำราญกับชีวิตบั้นปลายอย่างนั้นหรือ? และผู้สืบทอดราบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์นี้จะเป็นใครที่ไหนไม่ได้ก็ต้องเป็นญาติผู้พี่อยู่แล้ว

หลายปีที่ผ่านมา ฝ่าบาทอบรมบ่มเพาะญาติผู้พี่ให้เขาประสบผลสำเร็จ จนทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่า บัลลังก์นี้ต้องเป็นของเขาอยู่แล้ว ส่วนญาติผู้พี่เองก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด ผลงานการปกครองบ้านเมืองของเขาประสบความสำเร็จออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีศักยภาพและความสามารถในการเป็นฮ่องเต้ที่ยอดเยี่ยมได้แน่

ทุกอย่างดูเหมือนจะพร้อมแล้ว วันนี้คงเป็นวันที่ญาติผู้พี่จะได้สืบทอดบัลลังก์ สิ่งที่วางอยู่ในถาดพวกนั้นเกรงว่าจะเป็นตราราชลัญจกรหยกกับเสื้อคลุมลายมังกร

ญาติผู้พี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อน ทำเพียงแค่มองไปรอบ ๆ ทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่ามึนงงเล็กน้อย ชิงฮวนสบตากับญาติผู้พี่เล็กน้อยและอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งสองคนคงไม่ได้ถูกขนมเปี๊ยหล่นฟาดหัวจนมึนไปแล้วหรอกนะ? ช่วงเวลาแห่งความสุขมาเยือนจนลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใครไปแล้วงั้นหรือ?

ฝ่าบาทกระแอมในลำคอและพูดเสียงทุ้มอีกครั้ง “ฉีเอ๋อร์ ยังไม่รีบมารับราชโองการอีกหรือ?”

ญาติผู้พี่เห็นว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหลาย จึงมีสีหน้าประหลาดใจและชี้ไปที่ตัวเอง “ข้างั้นหรือ?”

ลู่กงกงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย รีบเดินซอยขาเข้ามาเร่งเร้า “ไอหยา ท่านอ๋องฉีของกระหม่อม พระชายาอ๋อง พวกท่านยังจะมัวยืนอึ้งทำอะไรตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาททรงเรียกพวกท่านให้ขึ้นไปรับราชโองการแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

ญาติผู้พี่เริ่มลนลานขึ้นมาทันที ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นก็พูดจาตะกุกตะกักว่า “อะไร ท่านอ๋องฉีอะไรขอรับ?”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา ลู่กงกงก็ตกใจขึ้นมาในทันที ตกตะลึงจนอ้าปากค้างและจ้องมองญาติผู้พี่อย่างพินิจพิจารณาดีๆ “ท่าน ท่านไม่ใช่ท่านอ๋องฉีงั้นหรือ?”

เมื่อสายตาของทุกคนมองมาทางนี่ถึงได้พบว่า ใบหน้าของสองคนนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสัน ไหนเลยจะใช่ญาติผู้พี่กับชิงฮวนได้ล่ะ? เป็นแค่เพียงคนสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกันก็เท่านั้น และเนื่องจากแต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกันและยังแต่หน้าด้วยสีน้ำมันเหมือนกัน จึงไม่สามารถแยกออกได้ เพียงแต่สามารถมองออกได้จากบุคลิกท่าทางของพวกเขา

“ไม่ต้องหรอก พวกเขาสองคนได้รับราชโองการลับของข้า และออกจากวังหลวงไปแล้ว ข้าได้มอบหมายภารกิจลับให้กับพวกเขาทั้งสองคนไปทำ ทำสำเร็จแล้วถึงจะสามารถกลับมาที่เมืองหลวงได้ มู่หรงอวิ๋นเช่อเจ้าก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับราชโองการ”

อวิ๋นเช่อยังไม่สางเมาจากฤทธิ์เหล้าของเมื่อวานเลย ว่าแล้วทำไมเมื่อวานท่านพ่อของเขาถึงยอมให้เขาดื่มเหล้าครั้งแรกเป็นประวัติการณ์และยังปล่อยเลยตามเลยอีกด้วย ที่แท้ก็พยายามมอมเหล้าตัวเองให้เมา เพื่อที่ว่าวันนี้จะสามารถทำตามแผนการหลบหนีของพวกเขาหลับหลังตัวเองได้

ตัวเองเดาถูกแต่ตอนต้น แต่กลับเดาตอนจบของเรื่องไม่ได้

เมื่อได้ยินตาเฒ่าฮ่องเต้ประกาศราชโองการออกมา จึงรีบเดินขึ้นไปรับพระราชโองการทันที

ตาเฒ่าฮ่องเต้เม้มริมฝีปากด้วยความโกรธเล็กน้อย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในวังเป็นการชั่วคราวเถอะ อาศัยอยู่ข้าง ๆ วังเยี่ยนชิ่งของข้าก็แล้วกัน ข้าจะได้มีเวลาอบรมสั่งสอนเจ้าให้มากขึ้น”

อวิ๋นเช่ออยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา เขาเองก็โกรธมากแต่ไม่กล้าพูดออกมาเช่นกัน ใครใช้ให้ตนเองมีท่านพ่อท่านแม่ที่เอารัดเอาเปรียบลูกตัวเองแบบนี้กันล่ะ? ตัวเองเอาตัวรอดไปได้แล้ว แต่กลับทิ้งให้ตัวเองอยู่ในฐานะตัวประกันอีก

ภายภาคหน้าคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอย่างแน่นอน

ขุนนางโดยรอบพากันวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ ถึงเรื่องที่ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบหายตัวไปอย่างลึกลับ แท้จริงแล้วมีภารกิจลับอะไรกันแน่?

ตอนนี้หนานจ้าวกับมั่วเป่ยก็อยู่ในความดูแลของฉางอันแล้ว ยังจะมีภารกิจอะไรที่ต้องให้พวกเขาทั้งสองคนออกโรงด้วยตัวเองด้วยล่ะ?

หายนะในครั้งนี้ หรือว่าจะเป็น...

ทุกคนมองสบตากันไปมาด้วยสายตาที่รู้และเข้าใจกันดี

ตัวข้าก็หัวเราะขำ ๆ ญาติผู้พี่กับชิงฮวนฉลาดเป็นกรด แค่พลิกมือก็ควบคุมเมฆได้ แค่คว่ำมือลงก็บังคับฝนให้ตกได้ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะเขียนตำนานที่น่าทึ่งขึ้นมาใหม่ได้

พวกเขามีทั้งความกล้าหาญในการช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นหมอที่มีความเมตตากรุณา หากต้องการปกปิดชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง และหลบหนีให้รอดพ้นจากหูตาของฝ่าบาท เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย

ภูเขาสูงตั้งตระหง่าน สายน้ำทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ใต้หล้าไม่ได้กว้างใหญ่จนเกินไป เจอกันอีกครั้งในยุทธภพก็แล้วกัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา