ซ่งฝูเซิงรับรู้ กระแอมไอออกมาหนึ่งทีก่อนเรียกเหล่าหนิว “ลุงหนิว?”
ทำให้เหล่าหนิวถึงกับตกใจ ตวัดแส้ตีลาจนเกือบพลาดไปตีตนเอง เขาหันหน้าไปพร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “ได้โปรดนายท่าน ข้ารับไม่ได้ ท่านเรียกข้าน้อยว่าเหล่าหนิวก็ได้ เมื่อก่อนท่านเรียกข้าว่า หนิวจั่งกุ้ย นั่นก็ถือเป็นการให้เกียรติข้ามากแล้ว”
“ทำไมถึงไม่ได้? พวกเราตอนนี้ต่างตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ใครจะมัวใส่ใจในการเรียกกันเล่า”
“ไม่ได้นะนายท่าน ไม่ว่าเวลาไหนท่านกับคุณหนูก็ยังเป็นเจ้านายของข้าน้อย และท่านอย่าได้เรียกข้าว่าหนิวจั่งกุ้ยอีกเลย โรงเตี๊ยมก็ไม่มีแล้ว เรียกไปก็ไม่เหมาะสม ข้าน้อยขอร้อง ท่านเรียกข้าว่าเหล่าหนิวเถอะ”
“ช่างเถอะ ข้าจะไม่เถียงเจ้ากับเรื่องพวกนี้” ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่กระเป๋าอาดิดาสกับกระเป๋ากันฝน ถามทั้งที่รู้แก่ใจ “เจ้าเคยเห็นของพวกนี้หรือไม่? ด้านในมีหลายแบบนะ เมื่อก่อนพ่อตาข้าคงเคยเอามาให้เจ้าดูแล้วสิ?”
เหล่าหนิวไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เขาตวัดแส้ไป ตวัดเสร็จก็หันมามอง “ไม่นะ พื้นผิวของกระเป๋าสัมภาระเช่นนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เอ๊ะ ไม่ใช่มั้ง เจ้าจะไม่เคยเห็นได้อย่างไร?”
ซ่งฝูหลิงได้ยินพ่อของนางพูดเช่นนี้ ก็รีบก้มหน้าต่ำลง เกรงว่ายามที่นางเห็นท่านพ่อแสดงละครจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
ซ่งฝูเซิงยังกล่าวด้วยสีหน้ามึนงง “สิ่งของพวกนี้ ตอนท่านพ่อตาข้าไปทำการค้าขายที่ต้าหนานเมี่ยน เขาได้ซื้อสิ่งนี้มาจากคนฟานกั๋ว เจ้าไม่ได้ติดตามไปด้วย?”
“อ๊าห์” เหล่าหนิวถึงนึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าอธิบาย “มิน่าข้าน้อยถึงไม่เคยเห็น ตอนท่านเฉียนไปทำการค้าขายที่ต้าหนานเมี่ยน ข้าน้อยยังไม่ได้ติดตามเขาไป เขาผ่านอานชิ่ง ถึงได้รับเลี้ยงข้าน้อยไว้ ตอนนั้นท่านเฉียนได้เปิดโรงเตี๊ยมตรงถนนกวนเต้า และเข้ามาตัวอำเภอเมืองเพื่อเปิดร้านค้า ข้าน้อยเคยตามเขาไปหนานเมี่ยน แต่ตอนนั้นไปซื้อขายฝ้ายและไม่ได้ไปต้าหนานเมี่ยน”
ซ่งฝูเซิงยังคงทำหน้าสับสน และยังคงถามต่อไป “สิ่งของแปลกประหลาดพวกนี้ หรือว่าจะมีเพียงแค่ชุดเดียว? เน่ยตี้ของข้าละ? เขาก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันใช่ไหม? ท่านพ่อตาคงไม่ได้จะเก็บไว้เป็นพิเศษให้บุตรสาวเพื่อเป็นของขวัญเวลาแต่งงานหรอกนะ?”
เมื่อถามคำถามนี้ออกไป ซ่งฝูหลิงก็อยากจะทำตาถลึงใส่ ทำเรื่องอะไรไร้ประโยชน์ ไม่สมเหตุสมผล
ครานี้เหล่าหนิวรู้สึกว่านายท่านวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ยังทอดถอนหายใจ “ท่านเฉียนรักคุณหนูมาก มีของดีอะไรจะคิดถึงคุณหนูเสมอ ท่านคงคิดเช่นนี้”
พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉียนเพ่ยอิงที่กำลังวุ่นวายผัดโหยวฉาเมี่ยน นางไม่ได้ใส่ใจว่าซ่งฝูเซิงนำของแปลกใหม่อะไรออกมา และไม่มีเวลาสนใจว่าของพวกนี้มาจากไหน
ในสมองของเหล่าหนิวเต็มไปด้วยความคิด เมื่อสักครู่คุณหนูพูดเสียงดังใส่นายท่าน ทำให้เขาถึงกับตกใจ เขากับซื่อจ้วงถึงกับมองตากัน ไม่กล้าแสดงอาการออกมา ณ ตอนนั้นเขาเกือบคิดว่ายังเดินออกไปไม่ถึงสองลี้ก็ต้องแยกทางกันเสียแล้วสิ
แต่ปรากฏว่านายท่านแสดงพฤติกรรมออกมาเกินความคาดหมายของเขา ไม่เพียงแต่ไม่โมโหด่าทอคุณหนู เขายังปลอบใจอีก
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ไม่พูดถึงนายท่านที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปเร็ว ก็พูดถึงคุณหนู เมื่อก่อนกล้าทำที่ไหน
เมื่อก่อน หลังจากคุณหนูคลอดคุณหนูน้อยแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรง ไม่สามารถมีลูกได้อีก กลัวว่านายท่านจะแต่งหญิงอื่นเข้ามาอีก นางจึงนำรายได้ของร้านทั้งหมดมอบให้นายท่านเก็บไว้ คาดว่าตั้งแต่นั้นมา เงินเก็บไว้ที่บ้านตรงไหน คุณหนูยังไม่รู้ดีเท่ากับหัวขโมยเลย
และเพราะอะไร เขาเป็นจั่งกุ้ย สองสามปีที่ผ่านมานี้ถึงมาที่เรือนนี้น้อยครั้ง? เพราะเกรงว่ามาบ่อยครั้งเกินไป จะเป็นการย้ำเตือนนายท่านว่า นี่เป็นเงินของขวัญแต่งงาน
ท่านเฉียนยิ่งกว่า เพราะอะไรเขาถึงไม่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคอยให้เงินช่วยแต่งงานของบุตรสาวตลอด? เขาเข้าใจดี เกรงว่าคนนอกจะเรียกนายท่านว่า ‘เขยที่แต่งเข้าบ้านเมีย’ กลัวว่าเขาจะเสียหน้าแล้วพาลโมโหใส่คุณหนู
นอกจากนี้ หลายปีที่ผ่านมานายท่านยังมอบที่นาอันอุดมสมบูรณ์ให้กับบ้านสกุลซ่งมาตลอด ซึ่งใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก นายท่านกับคุณหนูต่างรู้ดี
เหล่าหนิวยังจดจำได้จนถึงวันนี้ ปีที่แล้วเขาไปเมืองหลวงเพื่อพบท่านเฉียน ท่านเฉียนสอบถามเรื่องราวระหว่างคุณหนูกับนายท่านแล้วก็ว่าเขา ว่าเขาไม่พูดความจริง
เพราะคงไม่มีหญิงสาวบ้านไหนที่กล้าจะแสดงอารมณ์ออกมาเช่นนี้กับหัวหน้าครอบครัว? ถึงแม้จะเป็นผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงมาก็ตาม
และดูสิ นายท่านยังช่วยคุณหนูทำอาหาร เขาแก่ขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นผู้ชายบ้านไหนทำกับข้าวมาก่อน
นี่เขาทำเป็นเมื่อไหร่กันนะ? หมาฮวากลิ่นหอมแบบนี้ รีบกลืนน้ำลายแต่ก็ควบคุมท้องไม่ให้ร้องไม่ได้
เฮ้อ จะไม่ยอมแพ้ก็ไม่ได้ มิน่านายท่านถึงสอบได้ถงเซิง ปีนั้นยังได้อันดับต้นๆ สถานการณ์ลำบากถึงเห็นธาตุแท้ ท่านเฉียนสามารถตายอย่างตาหลับได้แล้ว
ซ่งฝูเซิงไม่รู้เลยว่าเหล่าหนิวกำลังคิดอะไรภายในใจมากมายขนาดนี้ หากเขารู้คงบอกกับเหล่าหนิวอย่างภาคภูมิใจ การช่วยภรรยาทำอาหารนั้นไม่เท่าไร รอให้การเดินทางของพรุ่งนี้แน่นอนก่อน เขายังต้องช่วยภรรยาซักเสื้อผ้าอีกนะ
ซ่งฝูเซิงรู้สึกปลื้มใจที่หลอกพวกเขาได้ และภูมิใจที่ตนเองมีพรสวรรค์ด้านการแสดงละครตบตา เขากระตือรือร้นรีบนำหมาฮวาที่ทอดเสร็จกระทะแรกยื่นให้ หน้าตาเต็มไปด้วยเหงื่อ “กินเสีย กินทั้งหมด ไม่ต้องเกรงใจใคร ลี้ภัยมื้อแรกต้องกินให้อิ่ม นี่ถึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี แสดงว่าต่อไปจะไม่อดอยาก”
คนละสองอัน กำลังจะเรียกเฉียนเพ่ยอิงอย่าเพิ่งทำอะไร รีบมากินตอนที่ยังร้อนๆ ก่อน ซ่งฝูเซิงก็ถึงกับชะงัก เพิ่งนึกได้ว่าจะต้องหาเวลาปรึกษาพูดคุยกับเด็กน้อยดีกรีปริญญาโทของเขาก่อน เกี่ยวกับการปฏิบัติเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นว่าจะเรียกแม่ของนางอย่างไรไม่ให้โดนตี
เป็นที่รู้กันดีว่า คนในสมัยโบราณพูดจานอบน้อมถ่อมตน เขายังเป็นคนมีฐานะ ใช่หรือไม่? ถงเซิง อยู่ด้านนอกเรียกภรรยาว่า “เจี้ยนเน่ย”
เขาเชื่อ หากเขาเรียกเฉียนเพ่ยอิงว่า เจี้ยนเน่ย ตอนนี้ภรรยาของเขาที่อยู่ในอาการไร้ความทรงจำ ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนยุคโบราณ คงจะจ้องเขม็งด่าเขาแน่นอน “เจ้านั่นแหละเจี้ยน!”
Related
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...