ซ่งฝูเซิงยังเดินไปไม่ถึง ก็ได้ยินเสียงตะโกนคุยกัน
“ฝูกุ้ย เป็นอะไรมากไหม?” เกาถูฮู่หมอบลงตรงปากประตูทางลงห้องใต้ดินพร้อมตะโกนถามออกไป
“ท้ายทอยข้าถูกกระแทกอีกแล้ว เอวก็ถูกท่อนไม้ราวบันไดชน ตอนที่ตกลงมา ไต้ก็ตกลงมาไหม้ผมของข้าด้วย คิดดูเอาละกันว่าเป็นอะไรหรือไม่” ซ่งฝูกุ้ยตะโกนตอบกลับมา
ปีนกลับขึ้นมา?
“จะให้เป็นกลับขึ้นไปยังไง บันไดผุพังจนหมดแล้ว แตกหักจนไม่เหลือชิ้นดี”
ซ่งฝูเซิงเดินมาถึงพอดี เขาคาดคะเนความลึกของห้องใต้ดิน มันลึกพอประมาณเหมือน กัน “มีเชือกไหม? เอาเชือกมาดึงเขาขึ้นมา”
“เชือกอยู่ในตะกร้าที่ท่านป้าแบกอยู่บนหลัง” เกาถูฮู่เอ่ยขึ้น
ในห้องมุงหญ้าที่ค่อนข้างสภาพดีห้องหนึ่ง
ถึงแม้เฉียนเพ่ยอิงจะไม่ได้ทำงานอะไร มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ เท่านั้น แต่นางก็อดห่วงไม่ได้ สายตานางคอยมองไปด้านนอกตลอดเวลา ทั้งได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่ามีคนตกลงไปในห้องใต้ดินนางก็ยิ่งร้อนใจมากยิ่งขึ้น แต่จะออกไปดูก็ไม่ได้ กลัวว่าลูกสาวของนางและเด็กๆ ที่อยู่ตามลำพังในห้องจะกลัวขึ้นมา
ซ่งฝูเซิงเดินกลับเข้ามาในห้อง เฉียนเพ่ยอิงรีบสอบถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง? คนที่ตกลงไปด้านล่างเป็นอย่างไร?”
“ยังสามารถโก่งคอตะโกนได้ คงไม่เป็นอะไรมาก เอาเชือกมาให้ข้า” ซ่งฝูเซิงรับเชือกมาแล้ว อดไม่ได้ที่จะบ่นให้ภรรยาฟัง “ไม่มีใครมีความคิดก่อนจะทำอะไรเลย เตือนแล้วให้ระวังทางเดิน พูดไปตั้งหลายรอบ ก่อนจะเดินให้ใช้ไต้ส่องสว่างก็ยังไม่ระมัดระวัง มีแต่เพิ่มความวุ่นวาย เชือกยาวไม่พอ ยังพอมีอีกไหม?”
“เจ้าอย่าเพิ่งไปบ่นพวกเขาเลย อดทนหน่อย ทุกคนตอนนี้จิตใจย่ำแย่ การเดินทางก็เหนื่อยล้า บวกกับเวลานี้ก็ดึกแล้ว คงง่วงอยากพักผ่อน คงไม่มีสติไตร่ตรองอะไรมากนัก ขอให้คนไม่เป็นไรก็พอแล้วล่ะ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าข้างหลังห้องที่ทรุดโทรมแบบนี้จะมีห้องใต้ดินเหมือนกัน…
…อืม! ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่อาศัยก่อนหน้า ขุดห้องใต้ดินไว้เยอะไหม ก็ดีเหมือนกันนะเวลาพวกเราซื้อผักกาดขาวกับหัวไชเท้ามาจะได้มีที่เก็บ ไม่เช่นนั้นคนเยอะขนาดนี้ ถ้าเข้าหน้าหนาวไม่รู้จะหาอะไรมากินให้เพียงพอ…
…ถ้าห้องใต้ดินมีจำนวนมากพอ พวกเราก็ปลูกผักกันเองเถอะ จะได้สะดวกสบายมากขึ้น”
เฉียนเพ่ยอิงเดินพูดกับสามีของนางจนถึงหน้ากระท่อม มือข้างหนึ่งยกตะเกียงเพื่อให้แสงสว่าง มืออีกข้างช่วยควานหาเชือกที่อยู่ในตะกร้า
เมื่อนางหาเชือกพบก็ยื่นให้กับสามี แต่เขายืนนิ่งไม่รับเชือกไป นางใช้ตะเกียงส่องดูสามีว่ากำลังทำสิ่งใด “เจ้ายืนนิ่งมองข้าด้วยเหตุใด?”
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“หือ?”
“เรื่องปลูกผัก คำนั้นน่ะ”
เฉียนเพ่ยอิงยืนนิ่งอ้าปากค้าง ใช่แล้ว นางเพิ่งพูดออกไป
นางฟังไม่เข้าใจความหมายของสามี จึงถามกลับ “คำว่า ‘ปลูกผัก’ ทำไมหรือ ห้องใต้ดินปลูกไม่ได้หรือ เจ้าจำอะไรไม่ได้แล้วหรือ? หวนรำลึกถึงอดีตอันขมขื่นและขอบคุณปัจจุบันที่หอมหวาน ท่านพ่อของพวกเราไง อืมมม”
ซ่งฝูหลิง หากท่านพ่อปลูกกระเทียมได้ก็ดีเลย เมื่อถึงฤดูหนาว ผักสดน่าจะมีราคาแพงมาก
หนึ่ง สอง สาม ดึงงงง
หนึ่ง สอง สาม ดึงงงง
ในที่สุดซ่งฝูกุ้ยก็ถูกดึงขึ้นมาจากห้องใต้ดิน ผมของเขาถูกไฟไหม้จนขดเป็นเกลียวเป็นหย่อมๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นควัน
ซ่งฝูเซิงเตือนกับทุกคนอีกครั้ง “ที่แห่งนี้มีบ้านมุงจากที่ผุพังมากมาย ดูจากสถานการณ์แล้ว มีคนพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตอนฤดูหนาวพวกเราจะต้องเก็บผักไว้ในห้องใต้ดิน ห้องที่ถูกขุดไว้มีไม่น้อย ทุกคนต้องระวังอย่าเดินตกลงไป โดยเฉพาะด้านหลังห้องนั่น อย่าตกลงไปอีกล่ะ!”
ซ่งหลี่เจิ้งเดินเข้ามาพร้อมกับถามขึ้นแบบงงๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีคนเคยอาศัยอยู่ ข้าดูแล้วเหมือนกระท่อมที่ไว้เก็บผัก เก็บข้าวสารในช่วงสั้นๆ ของฤดูใบไม้ผลิมากกว่า”
“ท่านลุง ที่ไหนมีที่นาดีๆ แค่ดูก็รู้แล้ว ที่ตรงนี้นอกจากป่าละเมาะก็แค่เป็นภูเขาเท่านั้น ท่านควรจะถามข้าว่า ทำไมถึงคนพวกนั้นถึงทิ้งบ้านเรือนและก็ห้องใต้ดินย้ายหนีไปที่อื่นมากกว่า”
“เหตุใดเล่า?”
“เพราะมีเสือ หมาป่าลงมากัดกินคนยังไงล่ะ พื้นที่ตรงนี้ไม่ค่อยปลอดภัย คนในชุมชนเลยย้ายไปอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งของแม่น้ำ”
ซ่งหลี่เจิ้งยืนอยู่ที่เดิม ทำหน้าครุ่นคริด ไม่น่าถามเลย จะอะไรเล่า ชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยาไม่ต้อนรับพวกเขา ต่อไปคงจะทำอะไรให้พวกเขาต้องลำบากใจเป็นแน่ หนีเสือปะจระเข้จริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...