ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 66

ตอนที่ 66 จิตใจดี ต้องแบ่งปันให้คนข้างกาย

ชายฉกรรจ์แต่ละคนกลับเข้ามาในขบวน ต่างคนต่างกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง

เสียงล้อรถเข็นไม้เคลื่อนตัว หนิวจั่งกุ้ยกระโดดขึ้นรถลากอีกครั้งพร้อมตะโกน “ไป” น้ำเสียงผ่านเข้ามาในใจของผู้ลี้ภัยทุกคนที่คุกเข่าอยู่

ไม่มีความหวังแล้ว สิ้นหวังจริงๆ

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้ลี้ภัยในบริเวณใกล้เคียงต่างก็รู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนดีอะไร คนกลุ่มนี้สามารถฆ่าคนที่เข้ามาร้องขออาหารได้ คนกลุ่มนี้จะไม่มีทางยอมให้อาหารหรือน้ำดื่มเลยแม้แต่น้อย

เมื่อซ่งฝูเซิงเดินไปหน้าขบวน เขาเหลือบมองท่านยายหวัง

ท่านยายหวังหดคอด้วยความลำบากใจ

นางเข้าใจความหมายในสายตาของหลานชายคนโต ก่อนลงจากภูเขาก็ได้สั่งกำชับเป็นพิเศษ แท้จริงแล้วนางไม่เคยลืม

นางเพียงแค่? เฮ้อ!

เป็นเพราะนางผิดเอง นางไม่ได้ทำตามกฎระเบียบของกลุ่ม นางสัญญาว่าต่อไปจะไม่ใจอ่อนอีกแล้ว จะทำตามคำสั่งของหัวหน้าและหลานชายคนโต

ถัดจากครอบครัวท่านยายหวัง เป็นครอบครัวลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง

ป้าใหญ่หันหน้าไปถลึงตาใส่ท่านยายหวังหลายครั้ง แล้วหันกลับมาบ่นกับลูกสะใภ้ “ช่างน่ารำคาญจริง ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายจนตื่นตระหนกกันไปหมด”

ลุงใหญ่ที่ขาไม่ดีรีบตำหนิป้าใหญ่ “เจ้าพูดเบาๆ หน่อย อย่าได้ทำให้คนครอบครัวหวังได้ยินอีก อย่าทำลายความสามัคคี”

ใช่ ฟังไม่ผิด มันคือความสามัคคี

ตอนที่ซ่งฝูเซิงตะโกนอบรมทุกคนตอนอยู่บนภูเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ในครึ่งชั่วโมงนั้นก็มีคำศัพท์ใหม่หลายคำหลุดออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

ลุงใหญ่อายุมากแล้ว สมองไม่ค่อยดี จำได้เพียงแค่ศัพท์ใหม่คำนี้

หลานชายสามบอกว่า ความสามัคคีคือพลังหลักสำคัญของกลุ่มเรา หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ห้ามโทษและทะเลาะกันเอง

ป้าใหญ่บ่นพึมพำ ก่อนจะหุบปากลง

ซ่งหลี่เจิ้งซึ่งอายุมากแล้วไม่อยากเห็นผู้คนจำนวนมากต้องมาตายอย่างอนาถอยู่ข้างทาง คนจำนวนมากในที่นี้คงเพียงแต่คนที่อพยพหลบหนีมาและไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลย

เขายังคงยืนอยู่ ไม่ได้รีบร้อนกลับไปยังขบวนด้านหน้า เขาตั้งใจจะพูดกับผู้ลี้ภัยพวกนี้สักสองประโยค

“เห็นภูเขาลูกนั้นหรือยัง? ใครที่ไม่มีอาหาร อาศัยช่วงจังหวะนี้ที่มีภูเขาและน้ำอยู่แถวนี้หากพวกเจ้ามีความสามารถก็ออกไปล่าสัตว์ เก็บผักป่าและแบกใส่หลังตัวเองไว้ จะได้ยังพอมีอาหารและน้ำให้กินให้ดื่มได้ระหว่างทาง ไม่ถึงกับต้องอดตาย แต่บนภูเขายังมีสัตว์ดุร้ายและได้ยินมาว่ามีโจรป่า ชีวิตเป็นของเจ้า ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกทางเดินอย่างไรกันนะ”

เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังถอนหายใจเดินจากไป

นี่คือความเมตตาที่สุดแล้วของเขาที่สามารถจะทำให้ได้ พวกเขาต่างก็ล้วนเป็นคนธรรมดา การอยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

ขณะเดียวกัน ในขบวนรถลากของครอบครัวซ่ง ซ่งฝูหลิงกำลังโดนดุ

ท่านย่าหม่ามองผ่านหน้าต่างรถ นางเดินคิ้วขมวดไปถามหลานสาวคนเล็ก

“ร้องไห้ เจ้าร้องไห้ให้ใคร? ร้องไห้ที่พวกเขาน่าสงสารรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรร้องไห้ให้กับย่าของเจ้าก่อน…

…กว่าย่าของเจ้าจะต้มน้ำร้อนให้เจ้าดื่มได้นั้นไม่ง่ายเลย น้ำก็เหลือไม่เยอะแล้ว เจ้ายังจะมีเวลาว่างร้องไห้ให้คนอื่นอีกหรือ เจ้าไม่รู้สึกคอแห้งแล้วใช่ไหม?…

…พวกเขาน่าสงสารใช่ไหม เช่นนั้นเจ้ามองดูย่าของเจ้านี่ น่าสงสารหรือไม่ ข้าเดินเท้ามาหลายชั่วยามแล้วเพื่อให้เจ้าได้ขึ้นไปนอนหลับพักผ่อน…

…เจ้านอนจนน้ำลายยืดออกจากปาก ตื่นมาก็มองดูคนอื่นแล้วร้องไห้ ข้าว่าเจ้าคงจะว่างมากไปแล้วกระมัง ไสหัวลงมานี่เดี๋ยวนี้!”

ซ่งฝูหลิงไม่กล้าแม้แต่จะผายลม รีบลงจากรถอย่างฉับไว เปลี่ยนให้ย่าของนางขึ้นไปนั่งแทน

แต่ตอนที่พยุงท่านย่าหม่าขึ้นรถนั้น ซ่งฝูหลิงมีความในใจ ที่ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ นั่นคือ

“ท่านย่า จากคนที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วก็อยากแบ่งปันให้ท่านฟัง ท่านแก่แล้วไม่ควรขึ้นรถ ควรจะเดินต่อไป เพราะคนเมื่อได้พักแล้ว ขาจะหนักเหมือนใส่ตะกั่วเข้าไป จะกัดฟันอดทนเดินต่อไปไม่ได้อีกนะ”

แต่ก็ไม่กล้าพูดน่ะสิ

รังสีอำมหิตของท่านย่าหม่าแผ่สะเทือนไปถึงเฉียนหมี่โซ่วที่ซุกตัวอยู่บนมุมรถ “พี่สาว รอข้าด้วย ข้าก็จะลงไปเดินเช่นกัน”

ลองมองดูหมี่โซ่วที่ไม่มีความรู้สึกใด เพราะหมี่โซ่วคิดว่าไม่มีใครจะเลวร้ายไปกว่าเขาแล้ว เฉียนหมี่โซ่วสนใจเพียงแต่ว่าเขาจะเดินไม่ไหวแล้ว จะทำอย่างไรดี?

“ท่านลุง? ท่านลุง”

เฉียนหมี่โซ่วตะโกนเรียกซ่งฝูเซิงผ่านเฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงไป

เฉียนเพ่ยอิงจับมือเขาไว้ “เป็นอะไร มีเรื่องอะไรบอกข้าได้ หิวน้ำใช่ไหม?”

เฉียนหมี่โซ่วส่ายศีรษะ ไม่ยอมบอก รอจนตามซ่งฝูเซิงทันเขาถึงยื่นสองแขนเล็กๆ ออกไป เขาแหงนหน้ากล่าว “ท่านลุงอุ้ม”

ท่านลุง “…”

ท่านลุงอยากจะตายอยู่ที่เดิมจริงๆ ตอนนี้ท่านลุงเองก็ใกล้จะเป็นโรคไขข้ออักเสบแล้วนะ

เขาเดินวนรอบเกวียนและรถลากเพื่อหาพื้นที่ว่าง แต่ไม่มีพื้นที่เหลือเพราะพวกเด็กๆ ได้ผลัดกันเข้าไปพักผ่อนแล้ว ไม่สามารถพาเด็กเพิ่มเข้าไปได้อีก

ท่านลุงจึงยอมรับชะตากรรม “ขึ้นมา ข้าจะแบกเจ้าเอง”

แขนเล็กๆ โอบล้อมคอซ่งฝูเซิงเอาไว้แน่น ใบหน้าแสดงออกถึงความไว้วางใจและยังคอยป้อนน้ำให้กับซ่งฝูเซิง

ตอนเย็น เวลาหกโมงกว่า พวกล่อกับควายเดินจนเหงื่อไหลย้อยแล้ว พวกมันส่งเสียงร้องออกมาด้วยน้ำเสียงขัดขืน เวลานี้ท้องฟ้าด้านบนปลอดโปร่ง ซ่งฝูเซิงเดินออกมานอกขบวน ทำท่าทางสัญลักษณ์ให้หยุด

เมื่อทุกคนได้เห็นท่าทางนี้ต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนถึงขนาดนั่งลงกับพื้นดินตรงนั้น

หันกลับไปมองด้านหลัง ก่อนหน้ายังมีพวกผู้ลี้ภัยเดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา หรือพวกนั้นจะขึ้นภูเขาไปแล้ว หรืออาจจะเดินตามไม่ทัน

ข้างกายก็ปรากฏคนหน้าใหม่ขึ้นหลายคน ในที่สุดก็ได้เห็นเกวียนของครอบครัวอื่นเสียที มีคนมากมายมาพักแรมอยู่ที่นี่

เอาตรงนี้แล้วกัน ปักหลักพักผ่อนกันตรงนี้ก่อน นอนมันบนพื้นที่โล่งๆ นี่แหละ

Related

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว