ฉินซีไม่ได้เป็นคนโง่ เธอเริ่มสงสัยตั้งแต่โจวยู่ชุ่ยจะออกจากที่นี่อย่างกะทันหันแล้ว และตอนนี้เมื่อเห็นหยางเฉินกับฉินยีกลับมาเธอก็รู้ว่าโจวยู่ชุ่ยกำลังโกหกเธอ
โจวยู่ชุ่ยใช้เวลาสักพักถึงจะตั้งสติได้ เธอไม่ได้สนใจฉินซีแต่รีบหยิบสร้อยข้อมือหยกจากมือของหวังลู่เหยาอย่างรวดเร็ว
เธอรู้สถานะของทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่คิดจะถือสาใคร
“เราไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าโจวยู่ชุ่ยได้กำไลหยกของเธอคืน หยางเฉินจึงพูดเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกไป
หลังจากครอบครัวของหยางเฉินจากนั้น หวังลู่เหยาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไอ้สารเลว กล้าทำร้ายฉัน ฉันไม่มีวันปล่อยพวกแกไว้หรอก”
“ผัวะ!”
จางกว่างยกมือขึ้นแล้วตบหน้าของหวังลู่เหยาและพูดด้วยความโกรธ “วันๆ เอาแต่หาเรื่องฉิบหาย คุณอย่ามาดึงผมไปยุ่งด้วย”
“คุณตบฉันทำไม?” หวังลู่เหยาพูดอย่างงุนงง
“ตบคุณ?”
จางกว่างกัดฟันแล้วพูดต่อ “ถ้ามึงไม่ใช่แม่ของลูก กูฆ่ามึงไปนานแล้ว วันๆ เอาแต่ก่อเรื่องให้กู ถ้ามึงกล้าสร้างปัญหาให้กูอีก กูจะฆ่ามึงทิ้งซะ!”
หวังลู่เหยาถึงกับสะดุ้ง เธอรู้ดีกว่าสามีของเธอกล้าฆ่าเธอจริงๆ
“คุณคะ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ วันหลังฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว”
หวังลู่เหยารีบขอโทษและพูดต่อ “ที่รัก แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงกลัวไอ้หมอนั่นขนาดนี้? มันเป็นแค่ลูกเขยกระจอกที่อาศัยอยู่บ้านเมีย มันก็แค่เก่งแต่ใช้กำลังเท่านั้นนะ”
จางกว่างฮึ่มใส่เธออย่างเย็นชา “เจ้าโง่ คุณจะไปรู้อะไร? ถ้ามันเป็นแค่ลูกเขยกระจอกไร้น้ำยาจริงๆ แล้วมันจะจัดการลูกน้องผมตั้งมากมายได้ยังไง? บอกผมมาสิ”
“ต่อให้มันเก่งกว่านี้ แต่มันก็แค่คนเดียวนะ ถ้าเราหาคนมาเยอะกว่านี้เราจัดการมันได้อยู่แล้ว!” หวังลู่เหยาพูดอย่างค้างคาใจ
“หวังลู่เหยา กูจะเตือนมึงไว้ก่อนนะ ถ้ามึงกล้าไปยุ่งกับเขาอีก ต่อให้เขาไม่ฆ่ามึง กูจะเป็นคนฆ่ามึงเอง ชัดเจนไหม?” จางกว่างขู่เข็ญหวังลู่เหยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หวังลู่เหยาถึงกับหน้าซีดและรีบพูดตอบ “ที่รักคะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันก็แค่บ่นให้คุณฟังเท่านั้น เขาสามารถจัดการกับคนเป็นสิบคนด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ แล้วฉันจะกล้าไปยุ่งกับเขาได้ยังไงล่ะ?”
จางกว่างไม่ได้สนใจภรรยาอีก แต่นัยน์ตาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
ครั้งล่าสุดที่ลูกน้องของเขาถูกหม่าชาวจัดการตรงหน้าทางเข้าของโรงเรียนอนุบาล เขาก็เคยใช้เส้นสายเพื่อตรวจสอบประวัติของหยางเฉินแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้คำตอบอะไร โดยเฉพาะห้าปีที่หายตัวไปของหยางเฉินนั้นไม่มีข้อมูลหลงเหลือเลย
ซึ่งเพื่อนของเขาก็ได้บอกกับเขาว่า คนแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนธรรมดาที่ไร้ประวัติก็คงต้องเป็นผู้ลึกลับที่มีภูมิหลังอันน่ากลัวอย่างแน่นอน
แล้วคนที่สามารถจัดการกับนักสู้ร่างกำยำมากกว่าสิบคนด้วยตัวคนเดียวจะเป็นคนธรรมดาที่ไร้ประวัติหรือ?
ในอีกด้านหนึ่ง หยางเฉินขับรถพาผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่สี่คนมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านตระกูลฉิน
เสี้ยวเสี้ยวที่เหนื่อยมาทั้งวันและได้เผลอหลับในร้านอาหารก็ได้ผล็อยหลับในอ้อมแขนของฉินซี
ฉินยีดวงตาแดงก่ำและมองไปที่นอกหน้าต่างรถตลอดทั้งทางโดยที่ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ฉินซีกลัวว่าจะรบกวนลูกสาวที่กำลังนอนหลับอยู่ แม้เธอจะสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ทำได้เพียงอดกลั้นความสงสัยนั้นไว้
มีเพียงโจวยู่ชุ่ยคนเดียวที่ดูเป็นปกติ เธอเอาแต่ดูละครในโทรศัพท์ของเธอและมักจะส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยที่ไม่สนใจว่าเสี้ยวเสี้ยวกำลังนอนหลับอยู่
เมื่อกลับไปถึงบ้าน หลังจากฉินซีให้หยางเฉินอุ้มเสี้ยวเสี้ยวขึ้นไปนอนในห้องเธอก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นที่ร้านอาหาร? ทำไมจางกว่างถึงต้องพาภรรยาของเขามาขอโทษแม่ด้วย?”
โจวยู่ชุ่ยรู้สึกตกใจแต่ก็ตอบอย่างไม่พอใจ “แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ก็ไอ้เหลือขอคนนั้นไปทำร้ายผู้หญิงของคนอื่นน่ะสิ เกือบทำพวกเราซวยไปด้วยเลย”
“พูดไปเรื่อย!”
ฉินยีรู้สึกอารมณ์เสียและพูดด้วยความโกรธ “แม่คะ? แม่เป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉิน แม่คิดว่าเราจะได้ออกจากร้านอาหารไหม?”
“แม่เป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมาเองนะ ถึงแม้พี่เขยจะลงมือทำร้ายผู้หญิงคนนั้น แต่เขาก็ทำเพื่อแม่นะ”
“ก่อนที่แม่จะรู้ตัวตนของหวังลู่เหยา แม่ทะเลาะกับคนอื่นอย่างไม่เกรงกลัวเลย แต่หลังจากที่แม้รู้ว่าเขาเป็นใครแล้วแม่ก็หัวหดไปเลย?”
“หัวหดไปแล้วก็แล้วไป แต่แม่กลับเอาหนูไปรับเคราะห์แทนแม่ แล้วแบบนี้จะเรียกว่าแม่ได้เหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขย หนูคงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วล่ะ!”
“แค่นั้นยังไม่พอ แม่กลับโยนความผิดทั้งหมดให้กับพี่เขยอีกด้วย แม่ไม่อายบ้างเลยเหรอ!”
หยางเฉินรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ชั้นล่าง เขาได้แต่ถอนหายใจลึกๆ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก “เซินปา คุณอยากติดตามผมไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ผมมีงานสำคัญจะให้คุณ......”
ฉินซีอยู่คนเดียวสักพักก่อนที่จะกลับไปในห้อง สองตาของเธอแดงก่ำซึ่งดูก็รู้ว่าเธอเพิ่งร้องไห้เสร็จ
"หยางเฉิน เสี่ยวยีเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วนะ แม่ของฉันเป็นคนผิดเอง ขอโทษคุณด้วยนะ!" ฉินซีมองไปที่ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิด
หยางเฉินส่ายหัวแล้วยิ้มตอบ "อะไรก็ช่าง ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณรัก ผมจะพยายามยอมรับมันให้ได้ คุณไม่ต้องขอโทษผมนะ"
ฉินซีรู้สึกซาบซึ้งและพูดต่อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ "คุณสามารถอยู่ในคฤหาสน์และสามารถใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ แต่คุณกลับเลือกที่จะมาอยู่บ้านหลังนี้ ลำบากคุณแล้วจริงๆ นะ"
“สำหรับผมแล้ว การได้อยู่กับผู้หญิงที่ผมรักและอยู่กับลูกสาวของผม มันก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว” หยางเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินยีออกจากบ้านแล้วเธอก็ไปที่ร้านเหล้าคนเดียว ซึ่งบาร์ร้านนี้เป็นบาร์ที่มีชื่อเสียงของเจียงโจว
ณ ขณะนี้ เธอแค่อยากจะดื่มให้เมาและลืมทุกอย่างไป
แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สาวสวยก็คือสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด ดังนั้นสายตาของผู้คนมากมายก็จับจ้องมาที่ฉินยี
“คุณชายเฟิงครับ ดูผู้หญิงคนนั้นสิเพอร์เฟคจริงๆ ดูเหมือนเธอกำลังผิดหวังกับความรักอยู่นะ คงตั้งใจดื่มให้ลืมความเศร้าในใจแน่เลย บางทีเธออาจจะรู้สึกอ้างว้างอยู่นะครับ คุณชายเฟิงอยากจะเข้าไปปลอบใจเธอหน่อยไหมครับ?”
"ฮ่าๆ น่าสนใจดีนะ ผมจะลองเข้าไปปลอบใจเธอดู"
ฉินยีที่กำลังดื่มอยู่คนเดียวไม่ได้สังเกตถึงภัยอันตรายที่กำลังเข้าใกล้เธอเลย
"คนสวยครับ มาคนเดียวเหรอ!"
ชายหนุ่มวัยสามสิบถือแก้วไวน์ชาโตว์ลาฟิตที่หรูหราเดินเข้าไปนั่งอยู่ตรงข้ามฉินยีด้วยรอยยิ้ม
ฉินยีเหลือบมองชายหนุ่มคนนั้นแล้วพูดกับเขาอย่างเย็นชา “ไปให้พ้น!”
“คนสวยครับ ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อกวนเสวี่ยเฟิง เป็นเจ้าของร้านบาร์แห่งนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม
“ซ่า~”
ทันทีที่เสียงพูดของชายหนุ่มจบลง ฉินยีก็สาดเครื่องดื่มในแก้วใส่หน้าของเขาและพูดด้วยความโกรธ "ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: The king of War
เขียนยืดเยื้อฉิบหาย.. อ่านแล้วหงุดหงิด...
ยืดเยื้อมากอ่นแล้วโครตเสียอารมณ์แค่บอกว่าเป็นใครแค่เนี้ย แม่งยืดซะจนไร้รสชาติเลย เสียเวลา ่านฉิบหาย...
ถ้าเขียนต่อไม่ได้ก็ตัดจบเหอะ...
ไม่มีบทต่อไปหรือครับ...
ผู้เขียนเค้าเอาไปลงใน Hinovel ตอนนี้เขียนถึงบท 2541 ครับ...
กลับมาเขียนใหม่คงลืมไปหมดและ ต้องอ่านใหม่มั้ง นานเกิน แจ้งชี้แจงก็ไม่มี...
กำ...
คนเขียนตายแล้วเหรอครับ เสียใจด้วยครับ ขอให้ไปสู่สุขติครับ...
ยังอัพเดทอยู่ไหมครับ...
อัพตอนใหม่วันไหนครับ...