ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 808

นางพูดทีเดียวได้ทั้งสองความหมาย แต่หยุนอี่ว์โหรวกลับนึกไปอีกทางหนึ่ง ยังคิดว่าถูกหนานหว่านเยียนมองตัวตนออกแล้วซะอีก จึงตื่นตระหนกในทันที สีหน้าซีดขาว อธิบายอะไรไม่ออกสักคำ

สีหน้าของพ่อบ้านกาวเคร่งขรึม รีบออกโรงกล่าวปกป้องหยุนอี่ว์โหรวทันที “หยกซื่อหลินชิ้นนี้เป็นของจวิ้นจู่มาโดยตลอด เป็นตั้งแต่แรกเริ่ม”

“ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ไปอยู่ในมือของหนานชิงชิงได้ แต่จะต้องมีเหตุผลเป็นแน่!”

จวิ้นจู่อย่าได้เดินพลาดในเวลานี้เด็ดขาด และที่เขาต้องการทำ ก็คือทำให้จวิ้นจู่สงบสติอารมณ์ลง คิดวิธีการรับมือให้ดี

เป็นดังคาด การพูดแทรกอย่างกะทันหันของพ่อบ้านกาว ทำให้อารมณ์ของหยุนอี่ว์โหรวมั่นคงขึ้นทันที

“ไม่ผิด ตอนนั้นหยกห้อยเอวชิ้นนี้ถูกหนานชิงชิงแย่งชิงไป”

“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นเพียงแค่ญาติฝ่ายมารดาของจวนแม่ทัพ ไร้พลังอำนาจและไม่มีที่พึ่ง ด้วยความบังเอิญในครั้งหนึ่ง พระชายาเฉิงเห็นหยกห้อยเอวของข้าเข้าก็รู้สึกชอบ จึงแย่งชิงไปโดยไม่พูดพร่ำ”

“พระชายาเฉิงเป็นบุตรสาวภรรยาหลวงของเฉิงเซี่ยง ฐานะสูงส่งกว่าคนอื่นๆระดับหนึ่ง รังแกข้า ข้าก็ทำได้แค่ทน และทำได้เพียงตัดใจมอบหยกห้อยเอวนี้ให้นาง”

“แต่ก่อนหน้านี้ ข้าได้ยินมาว่าพระชายาเฉิงถูกขังอยู่ในวัดชิงอัน จึงได้ไปที่วัดแห่งนั้น ไปหาพระชายาเฉิงเพื่อขอสิ่งของของตัวเองคืน ดังนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงได้เคยเห็นของสิ่งนี้บนตัวของพระชายาเฉิง อันที่จริงก็เป็นธรรมดาเพคะ”

นางจะสับสนไม่ได้ จะต้องไม่ทำให้เกียรติยศความรุ่งโรจน์ทั้งหมดที่ยากจะได้มานี้ ลอยหลุดไปจากมือโดยไม่ทำอะไรเลยเด็ดขาด

วันนี้ นางจะไม่ยอมให้หนานหว่านเยียน กลายเป็นตัวถ่วงในเส้นทางการพลิกตัวของนางอีก!

หยุนอี่ว์โหรวพูดจาตามหลักฐานความจริง แต่กู้โม่เฟิงกลับขมวดคิ้วอย่างแรง

เขาไม่รู้ว่าหนานชิงชิงมีหยกห้อยเอวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้เพียงแค่ขณะที่เขารู้จักนาง ก็ใส่ติดตัวไว้อยู่แล้ว

คำพูดนี้ของหยุนอี่ว์โหรว ทำให้เขาแยกแยะความจริงเท็จไม่ได้ชั่วเป็นการชั่วคราว แต่ได้ยินหยุนอี่ว์โหรวบอกว่าตอนนั้นนางไปหาหนานชิงชิงที่วัดเพื่อไปเอาหยกห้อยเอว ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องอยู่เสมอ.......

และบรรดาขุนนางที่ได้ยินหยุนอี่ว์โหรวพูดเช่นนี้ ก็ต่างพากันพยักหน้ารู้สึกว่ามีเหตุผล

บรรดาทูตแคว้นต้าเซี่ยทยอยไปยืนอยู่ด้านหลังหยุนอี่ว์โหรว ช่วยหยุนอี่ว์โหรวพูดจา “หยกซื่อหลินเดิมทีก็คือของของจวิ้นจู่ จวิ้นจู่ไปขอคืนมาจากพระชายาเฉิงอะไรนั่นก็เป็นเรื่องปกติ!”

“ตอนนี้ฮองเฮาและฝ่าบาท คงจะไม่เคลือบแคลงใจในตัวตนของจวิ้นจู่ของพวกข้าแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ?”

ใบหน้าของกู้โม่หานเคร่งขรึมเย็นชา มองดูบรรดาทูตสวามิภักดิ์ต่อหยุนอี่ว์โหรวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหันหน้าไปทางหนานหว่านเยียนอย่างอดไม่ได้ ริมฝีปากบางๆเม้มแน่นขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาดำดั่งหมึกมีแววความลังเลและกลัดกลุ้มฉายผ่านจางๆ

แต่ดวงตาอันสดใสที่มองดูหยุนอี่ว์โหรวและพ่อบ้านกาวคู่นั้นของหนานหว่านเยียน ยิ้มเยาะขึ้นอย่างอดไม่ได้

“แม้ว่าพวกเจ้าจะเชื่อคำพูดที่หยุนอี่ว์โหรวเอ่ย เช่นนั้นพ่อบ้านกาว ข้าขอถามเจ้า ในเมื่อเจ้ารู้มานานแล้วว่าหยุนอี่ว์โหรวคือจวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ย ทำไมไม่พานางกลับแคว้นไปให้เร็วๆหน่อย?”

เหมือนว่าพ่อบ้านกาวจะเดาได้ว่าหนานหว่านเยียนจะถาม ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นโดยไร้ร่องรอย

เขาเปิดปากตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “ปีนั้นแคว้นต้าเซี่ยและแคว้นซีเหย่มีเรื่องทำสงครามอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ภายในของแคว้นต้าเซี่ยไม่มีเสถียรภาพไม่ปลอดภัย ตลอดมาข้าน้อยจึงไม่ได้พาจวิ้นจู่กลับแคว้น”

“และไม่กี่ปีมานี้ ข้าก็กลัวว่าฐานะตัวตนของจวิ้นจู่จะดึงดูดให้ผู้คนสงสัย ไม่กี่ปีมานี้จึงไม่กล้าช่วยเหลือนางเป็นพิเศษ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า......”

จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเป็นดุดันโหดร้ายขึ้นมา เพ่งมองหนานหว่านเยียนด้วยสายตาอันร้อนระอุ แต่ละประโยคแต่ละคำเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น “คิดไม่ถึงว่าไม่กี่ปีมานี้ ฮองเฮากลับรังแกจวิ้นจู่ของพวกข้ามาโดยตลอด!”

“ขณะที่จวิ้นจู่อยู่ที่จวนอี้อ๋อง ข้าน้อยก็เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งรู้ด้วยว่าท่านลบหลู่ กดขี่จวิ้นจู่ของพวกข้าอย่างไร!”

แต่หนานหว่านเยียนกลับไร้เหตุผลชอบตามรังควานครั้งแล้วครั้งเล่า น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วมองดูผู้คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวกระสับกระส่ายเหล่านั้น เปล่งเสียงกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้จะทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับพวกเจ้า เพียงแค่พัวพันถึงเรื่องสำคัญของแคว้น หรือทุกคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องระวังสักหน่อยงั้นหรือ?”

ขุนนางเหล่านั้นไม่ให้โอกาสหนานหว่านเยียนได้พูดมาก ตัดบทไปโดยตรง “เรื่องนี้พวกข้าจะจัดการด้วยความระมัดระวังเอง แต่ตอนนี้ซีเหย่ของพวกท่านไม่ให้โอกาสพวกข้าได้จัดการ!”

คิ้วคมดั่งดาบของกู้โม่หานขมวดขึ้นอย่างเย็นชา ตะคอกตำหนิว่า: “พอแล้ว! ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย! เจ้าคิดว่ากำลังพูดจาอยู่กับใคร?”

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ ตอนนั้นที่อยู่ในจวนอี้อ๋อง หนานหว่านเยียนได้รับความไม่เป็นธรรมมากมายเพียงใด เขามีความคิดเห็นแก่ตัว สับสนเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้ผู้ใดรังแกนางได้ตามอำเภอใจ!

มีกู้โม่หานบัญชาการด้วยตัวเอง บรรดาทูตขุนนางของแคว้นต้าเซี่ยจึงไม่กล้าพูดมาก แต่สายตากลับไม่มีความลดละแม้สักนิด ยังคงไม่ยินยอม

“เป็นพวกข้าที่พูดจาหนักเกินไป คิดต้องการจะพาจวิ้นจู่กลับไปจึงรู้สึกวู่วามไปหน่อย ขอให้ฝ่าบาท ฮองเฮาโปรดอย่าได้ถือโทษ”

แต่ขุนนางในราชสำนักของซีเหย่ กลับขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าหนานหว่านเยียนที่อยู่ในฐานะฮองเฮา สร้างความลำบากใจให้แก่สนมที่กำลังตั้งครรภ์ผู้หนึ่งเช่นนี้ คิดเล็กคิดน้อยกับนางเช่นนี้ จะสามารถรับผิดชอบภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงได้อย่างไร ดีไม่ดี ยังจะต้องพัวพันไปถึงฝ่าบาท เกี่ยวพันไปทั่วทั้งแคว้นซีเหย่ เพียงเพราะนางคนเดียวอีกด้วย!

หลิวช่างชูกล่าวว่า “ยังไงก็ขอให้ทุกท่านอย่างได้โกรธเคือง วันนี้ทุกคนในแคว้นต้าเซี่ยได้หาจวิ้นจู่พบแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง หากว่าวู่วามเกินไป ก็จะเป็นการทำลายไมตรีต่อกันอย่างเลี่ยงไม่ได้”

พูดพลาง เขาก็มองไปทางหนานหว่านเยียน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ก็อย่าได้คว้าไว้แน่นไม่ปล่อยเลย บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาของพระองค์และโหรวเฟยเป็นอย่างไร ข้าน้อยไม่ทราบ และก็ไม่อยากรับทราบด้วยเช่นกัน”

“แต่พระองค์เป็นฮองเฮา หรือว่าไม่ควรจะมีจิตใจเมตตาต่อคนทั่วหล้าเหมือนฝ่าบาทเช่นนั้น ทุ่มเทเพื่อประชาชนและสรรพสิ่งในแคว้นซีเหย่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ตอนนี้โหรวเฟยได้นำหยกซื่อหลินที่เป็นสิ่งของยืนยันออกมาเป็นหลักฐานแล้ว ท่านก็อย่าได้วางท่าใช้อำนาจ ทำทุกวิถีทางไม่ยอมให้คนอื่นเขาพาจวิ้นจู่ของตัวเองกลับบ้านเลยพ่ะย่ะค่ะ--”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้