ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 882

“ทราบว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อาจจะตายอยู่ในสนามรบ ก็ได้แต่ร้องไห้!”

“ถึงแม้เจ้าจะไม่เคยเสียน้ำตาเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่ แต่ข้าเห็นว่าเจ้าแอบไปร้องไห้เสียจนตาแดงก่ำอยู่หลายครั้ง”

“เจ้ายังแอบเอาเงินที่รวบรวมไว้ไปไหว้วานคนให้ซื้อข่าว ก็เพราะว่าอยากทราบถึงสถานการณ์ความเป็นไปของเสด็จพ่อ พอถูกคนโกงเงินก็ไม่กล้าที่จะบอกท่านแม่”

“เห็นได้ชัดว่าเกลียดการเรียนหนังสือถึงเพียงนั้น พี่สาวก็ยังไปขอร้องท่านอาจารย์ให้มอบหนังสือวิชาแพทย์ให้ท่านเป็นการส่วนตัว ข้ารู้ว่า แท้จริงแล้วพี่สาวกำลังคิดว่าถ้าหากว่าได้พบกับเสด็จพ่อจะสามารถช่วยชีวิตหรือช่วยเหลือเขาได้หรือไม่...”

เกี๊ยวน้อยไม่สามารถที่จะอดทนไว้ได้อีกต่อไป น้ำไหลออกมาไม่หยุดราวกับเส้นด้ายที่ขาดออกจากกัน

เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาว ก็ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถเสแสร้งได้อีกต่อไปเช่นกัน “ข้า ข้าก็ไม่ได้อยากจะให้เขาตายเหมือนกัน ในตอนแรกพวกเราก็ดีถึงขนาดนั้น แต่ว่าทำไมเขาถึงทำเรื่องเช่นนั้นในตอนสุดท้ายกัน? ซาลาเปาน้อยเจ้ารู้ไหมว่าทุกครั้งที่ข้าคิดถึงท่านปู่ คิดถึงท่านแม่ ข้าก็เสียใจมาก...”

ในที่สุดอารมณ์กักเก็บเอาไว้เป็นเวลานานก็ปะทุออกมา ซาลาเปาน้อยรับรู้ถึงความเสียใจของพี่สาว เอ่ยปลอบนางเรื่อยๆ ว่า “ข้ารู้ พี่สาวข้ารับรู้ทั้งหมดแล้ว”

สองพี่น้องกอดกันแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยกันไม่หยุด

การมองเห็นของเกี๊ยวน้อยพร่ามัว น้ำตาและน้ำมูกไหลอาบใบหน้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พวกเราทุกคนล้วนชอบเสด็จพ่อถึงเพียงนั้น เสด็จพ่อสามารถสังหารท่านปู่จนทำให้ท่านแม่เจ็บปวดถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”

“สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เพราะเหตุการณ์นั้นท่านเกือบต้องตาย น้องชายทั้งสองก็เกือบที่จะไม่ได้เกิดมา ข้าเกลียดเขา ข้าเกลียดเขามาก แต่ข้าก็ไม่มีทางที่จะเกลียดเขาได้จริงๆเลย...”

ในดวงตาของซาลาเปาน้อยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่รู้ว่าควรจะปลอบอย่างไร เพราะปัญหานี้ทำให้นางต้องทุกข์ใจมาเป็นเวลากว่าสองปีเช่นกัน

หลายวันนี้ นางคิดอยู่เสมอว่า ในตอนแรกมันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อไม่สามารถทนกับท่านปู่ได้จริงๆ

พี่สาวน้องสาวทั้งสองร้องไห้กันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เกี๊ยวน้อยจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “อย่าง อย่างไรก็ตามเรื่องราวก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว ไม่ว่าในตอนแรกมันจะเป็นเพราะอะไร ถ้าหากเขาต้องการที่จะอธิบายจริงๆ เขาก็คงจะมาตั้งนานแล้ว”

“แต่เขาก็ไม่เคยมา นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่มีสิ่งใดจะต้องอธิบาย”

เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าแดงก่ำ รอบดวงตาบวมช้ำ นางกัดฟันพูดอย่างปากแข็งและดื้อดึงว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้า ข้าก็จะไม่ให้อภัยเขา!”

สองพี่น้องร้องไห้คร่ำครวญด้วยกันอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานต่อความง่วงได้ พิงข้างเตียงแล้วหลับสนิทไป

เพียงแต่ว่าคืนนี้ไม่ได้ฝันดี

เช้าตรู่ของวันถัดมา มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงว่าวันนี้จวนเฉิงอวี้ส่งคนมาบอกว่า ทุกคนในตระกูลที่อยู่ในจวนกลายเป็นคนหัวล้านในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีข้อยกเว้น

ว่ากันว่าคนรับใช้ที่มาส่งข่าวนั้นปิดศีรษะไว้แน่นเพราะกลัวจะถูกคนพบ ผลก็คือขณะเดินอยู่นั้นไม่ทันระวังสะดุดธรณีประตูล้มลงเผยให้เห็นหน้าผากที่วาววับทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาระเบิดหัวเราะ

นอกตำหนักสีเยว่ นางกำนัลที่ผ่านไปมาล้วนก้มหัวกระซิบกระซาบพูดคุยถึงผู้ที่กลายเป็นตัวตลกผู้ยิ่งใหญ่นี้

“เจ้าไม่เห็นหรือว่า หน้าผากของคนผู้นั้นสว่างจนใช้เป็นกระจกได้”

“ที่ตลกที่สุดก็คือ บุรุษไม่มีผมก็ยังไม่เป็นไร เหล่าสตรีในจวนก็ล้วนกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว บนหัวล้านนั่นไม่เหลือเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว โดยเฉพาะนายท่านหญิงเฉิงอวี้ผู้นั้น จะน่าขบขันมากเพียงใดกัน!”

“ผู้ใดกันจะรู้ คนพวกนั้นของเฉิงอวี้จากตระกูลซูใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเป็นที่รู้กันทั่ว สมแล้วที่กรรมตามสนองเช่นนี้ องค์หญิงหงเหมิงที่อยู่ในพระราชวังก็เช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็จะต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน!”

พวกเขาไม่ห้ามเสียงหัวเราะเยาะแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “มันสมควรแล้ว! ที่ในยามนี้พวกเขากลายเป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถพบเจอผู้คนได้ไปครึ่งปี”

เมื่อได้ยิน ดวงตาของอันอันกับน่าวน่าวก็สว่างขึ้นมาทันที พวกเขาก็พุ่งกระโจนไปหาโม่เหยียนโดยที่ไม่สนใจเสื้อผ้าที่เพิ่งจัดระเบียบไป “คุณชายโม่เหยียน”

โม่เหยียนย่อกายลงรับเด็กน้อยที่กระโจนเข้ามาหา

เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก พวกเขาหลุบตาลงเงียบๆ

หนานหว่านเยียนลุกขึ้น มองดูโม่เหยียนที่ใกล้ชิดกับก้อนแป้งน้อยทั้งสองอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า “เช้าวันนี้ข้าส่งคนไปรับพวกเขามา โดยที่อันอันกับน่าวน่าวไม่ได้บอกกับข้าว่าเมื่อคืนวานได้นัดหมายกับท่านไว้แล้วว่าให้ท่านไปรับพวกเขา ขออภัยที่ทำให้ท่านเสียเวลา”

โม่เหยียนโอบก้อนแป้งทั้งสองไว้ มองหนานหว่านเยียน “ไม่เป็นไร เพียงแต่เหตุใดสีหน้าของจวิ้นจู่ทั้งสองจึงดูไม่ดีนัก ไม่ใช่ว่าไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือ?”

เกี๊ยวน้องจูงมือของเฟิงยางงแล้วโต้กลับว่า “ข้าคิดถึงท่านปู่มากเกินไป ดังนั้นจึงนอนไม่ค่อยหลับ”

ทั้งหนานหว่านเยียนและโม่เหยียนรู้อยู่แก่ใจดีว่า พี่สาวน้องสาวทั้งสองเห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มา แต่ไม่ได้มีใครพูดอะไร เพียงแค่คิดว่าพวกนางคิดถึงโม่หวิ่นหมิง อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างใจหาย

จิตใจของโม่เหยียนหนักอึ้ง ทันใดนั้นก็มองไปที่หนานหว่านเยียน “ใช่แล้วองค์หญิง เมื่อครู่ระหว่างทางมาที่นี่ข้าได้ยินข่าวเล่าข่าวลือมากมายเกี่ยวกับจวนเฉิงอวี้”

หน่านหว่านเยียนเลิกคิ้ว “ข้าได้ยินแล้ว จากคำอธิบายดูเหมือนว่าตระกูลของพวกเขาทั้งหมด ประมาณว่านอกจากหงเหมิงแล้วไม่มีผู้ใดรอดพ้นหายนะ”

ทำให้ทั้งตระกูลกลายเป็นคนหัวล้าน ไม่ได้อันตรายร้ายแรงมากนัก ทว่าเป็นการเหยียดหยามอย่างร้ายแรง

นางอยากหัวเราะเสียจริงและอยากจะรู้ว่า พระอรหันต์องค์ใดที่คิดกลอุบายที่น่าอายเช่นนี้ออกมา...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้