ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 897

นางยืนกรานกระต่ายขาเดียวปฏิเสธว่า  “ข้าจะทราบได้อย่างไรกันเล่า!  ในแคว้นต้าเซี่ยคนที่เกลียดชังเจ้าหาใช่มีเพียงข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น  เจ้าอาศัยอะไรมาอ้างว่าก็คือข้า?  หนานหว่านเยียน  ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้  ข้าคือคนที่เสด็จแม่อุ้มชูเลี้ยงดูจนโตมากับมือ  เจ้าข่มเหงรังแกข้าเช่นนี้  ข้า……โอ๊ย!”

คำพูดที่หยิ่งผยองยังมิทันได้พูดจบ  ใบหน้าก็ถูกตบอย่างรุนแรงหนักหน่วงอีกสองฉาด  ใบหน้าของลู่เจียวเจียวบวมแดงขึ้นมาแล้วทันที  พอแตะถูกก็ปวดระบมแล้ว  “หนานหว่านเยียน!”

ใบหน้าของสตรีเพศนั้นสำคัญมากเพียงใด  หลังจากนี้นางยังจะออกไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร?

ลู่เจียวเจียวโกรธเคืองจนต้องการบีบคอหนานหว่านเยียนให้ตายคามือ  แต่ยังมิทันแตะถูกมุมชายเสื้อสักแห่งของหนานหว่านเยียนด้วยซ้ำ  ก็ถูกโม่เหยียนเตะซัดกระหน่ำด้วยหัวเข่าคราหนึ่ง  กดให้นางคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรงหนักหน่วง

ภายในลานเรือนเสียงร้องอนาถก็ดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง!

เสียงของบุรุษดังมาจากเหนือศีรษะ  ช่างเย็นเยียบหนาวเหน็บจนเสียดกระดูก  ทำให้ผู้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

“มีการแย่งแยกความแตกต่างระหว่างผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งกับผู้น้อย  องค์หญิงหมิงหวงคือทายาทของประมุขเจ้าครองแคว้นแห่งแคว้นต้าเซี่ย  องค์หญิงหงเหมิงสมควรจำไว้ให้ขึ้นใจจะประเสริฐที่สุด  และกำเริบเสิบสานต่อหน้าองค์หญิงหมิงหวงให้น้อยลง  โม่เหยียนหาได้สุภาพอ่อนโยนเช่นนักปราชญ์ปานนั้นอย่างองค์ชายสี่ไม่  เป็นเพียงนักยุทธ์คนหยาบกร้านผู้หนึ่ง  หากมิทันระวังเตะขาขององค์หญิงหักลงแล้ว  เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก”

ลู่เจียวเจียวเจ็บปวดบนใบหน้า  เวลานี้ถูกโม่เหยียนจับกดเอาไว้อยู่บนพื้นดิน  เข่าทั้งสองข้างล้วนถูกก้อนหินขูดเป็นแผลแล้ว  แขนก็ถูกเขาจับบิดควบคุมไว้แล้วเช่นกัน  เจ็บปวดมากจนพูดไม่ออกแล้ว

ไฉนสองคนนี้จึงล้วนลงมืออย่างดุดันร้ายกาจถึงเพียงนี้  หนานหว่านเยียนดุดันร้ายกาจก็แลัวกันไป  โม่เหยียนที่เป็นบุรุษโปรดปรานผู้หนึ่งเท่านั้นถือดีอาศัยอะไรอีกล่ะ?!

นางด่าใส่หนานหว่านเยียน ไฉนเขาต้องโกรธเคืองด้วย!

หนานหว่านเยียนทราบว่าคนลักษณะเหมือนอย่างลู่เจียวเจียวนั้น  ก็คือคนที่ยังไม่ถึงแม่น้ำฮวงโหไม่ตายใจ  “หยุนเหิง  นำคนเข้ามา!”

(หมายเหตุ : ยังไม่ถึงแม่น้ำฮวงโหไม่ตายใจ อุปมา ยังไม่ถึงจุดที่สิ้นหวังโดยสิ้นเชิงมิยอมแพ้อย่างง่ายดาย)

“ขอรับ!”  หยุนเหิงรับคำสั่งถอยออกไป  ถลึงตาจ้องมองลู่เจียวเจียวอย่างดุดันคราหนึ่ง  ไม่ช้าชายชุดดำที่บอบช้ำเต็มไปด้วยรอยแผลเกลื่อนกลาดผู้หนึ่งก็ถูกลากตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ชายชุดดำผู้นั้นมองเห็นลู่เจียวเจียว  ก็ร่ำไห้พลางตะโกนโวยวายดังลั่นขึ้นทันทีว่า  “องค์หญิงหงเหมิง  ข้าน้อยลอบสังหารองค์หญิงหมิงหวงล้วนสืบเนื่องเพราะทำตามคำสั่งของท่าน  ท่านจะต้องช่วยเหลือข้าน้อยให้ได้นะ!”

ระหว่างเดินทางกลับพระราชวัง  เขาถูกเฟิงยางและหยุนเหิง “ใช้วิธีการทั้งหมด” เคี่ยวกรำไปแล้วรอบหนึ่ง  คนที่ปากแข็งเพียงใดก็ยังต้องเอ่ยปากแล้ว!

เมื่อลู่เจียวเจียวเห็นชายชุดดำผู้นี้  สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวไปทันที  ในที่สุดก็ตื่นเต้นร้อนรนขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว  เอ่ยปากคำรามขึ้นว่า  “เจ้าพูดจาเหลวไหล!”

“ข้าจะไปหาคนชนชั้นต่ำต้อยอย่างเจ้าเช่นนี้มาทำงานได้อย่างไร?  เห็นได้ชัดว่าเจ้ากับหนานหว่านเยียนผู้นี้ร่วมมือสมคบคิดกัน  ต้องการสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสีข้านั่นเอง!”

“เจ้า...เจ้ากลับบังอาจลอบสังหารทายาทของประมุขเจ้าครองแคว้นห่งแคว้นต้าเซี่ย  ยังใส่ร้ายป้ายสีข้าอีกด้วย  โทษฐานความผิดสมควรตายแล้ว!”

พวกคนโง่เขลากลุ่มนี้  มิใช่พูดว่าหากทำงานล้มเหลวก็จะหลบหนีไปหรือกัดลิ้นฆ่าตัวตายหรอกหรือ  เวลานี้กลับถูกหนานหว่านเยียนจับตัวไว้แล้ว  แล้วนี่สมควรจะทำเช่นใด?!

ไม่ได้การ  นางมิอาจยอมรับสารภาพผิดอย่างเด็ดขาด  มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตแล้ว!

“ใช่ข้าแล้วอย่างไรล่ะ  มิใช่ข้าแล้วอย่างไรล่ะ  ตั้งแต่หลังจากเจ้ากลับมาแล้ว  ก็คอยกดขี่ข่มเหงรังแกข้าตลอดมา  ยังมีคนจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นที่คอยให้การสนับสนุนเจ้า  ข้าก็เลยทั้งอิจฉาริษยาและบันดาลโทสะ!  และข้าก็ต้องการให้บทเรียนสั่งสอนแก่เจ้า  เจ้าจะสามารถทำอะไรได้ล่ะ  เจ้าสามารถสังหารข้าได้หรือ?”

นางคำรามอย่างโกรธเคืองคล้ายคนบ้าดั่งคนเสียสติ  เส้นเลือดฝอยสีแดงภายในดวงตาดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง

ทว่าความจริงแล้วนางไม่ได้ต้องการปลิดชีวิตของหนานหว่านเยียน  นางไหนเลยจะหาญกล้าเล่า  กล่าวถึงที่สุดแล้วหนานหว่านเยียนคือทายาทของประมุขเจ้าครองแคว้นเลยทีเดียว  นางเนื่องเพราะอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ไม่ได้นั่นเอง  ต้องการสั่งสอนบทเรียนหนานหว่านเยียนให้สาสมใจสักครั้ง!  ผู้ใดใช้ให้หนานหว่านเยียนคอยขัดแย้งกับนางทุกแห่งหนตลอดเวลา!

หนานหว่านเยียนหัวเราะเย้ยหยันคราหนึ่ง  “สังหารเจ้านั้นไฉนจะทำไม่ได้  เจ้ากล้าวางแผนทำร้ายข้า  ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อออกมา  แต่ตอนนี้ข้าสนใจคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้ามากยิ่งกว่า!”

คำพูดจบลง  ร่างลู่เจียวเจียวผนึกแข็งค้างวูบ  จ้องมองดูหนานหว่านเยียนอย่างสะท้านตื่นตระหนกและเหลือเชื่อ  “เจ้า...เจ้าหมายความว่าอะไร?”

หยุนเหิงรู้สึกสะท้านตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ไฉนเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยแล้ว  หรือว่าการลอบสังหารฮองเฮาเหนียงเหนียงครั้งนี้  มิใช่ความคิดขององค์หญิงหงเหมิงเองหรอกหรือ?!

ภายในดวงตาสีดำสนิทของโม่เหยียนเย็นชาเหี้ยมโหดทะมึน  สีหน้ากลับไม่ได้ผันผวนเปลี่ยนแปลงมากมายนัก

หนานหว่านเยียนก็มิต้องการกล่าววาจาไร้สาระกับลู่เจียวเจียวเช่นกัน  พูดตรงๆ มิอ้อมค้อมขึ้นว่า  “ตอนที่ข้าออกเดินทางนั้น  เส้นทางการเดินทางตลอดจนจุดที่ต้องผ่านล้วนแล้วแต่ถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด  เจ้าหนึ่งไม่มีกำลังคน  สองโง่เขลาเบาปัญญาเกินไป  สามขี้ขลาดตาขาวไม่มีกำลังขวัญความกล้า  หากเจ้าไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะบงการอยู่เบื้องหลังเจ้า  สุกรก็ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ  ผู้ใดที่คอยชี้แนะเจ้ากันแน่  เจ้าจงพูดออกมา  ข้าสามารถใช้วิจารณญาณคำนึงถึงสถานการณ์อภัยให้เจ้าได้!”

ลู่เจียวเจียวด้ยินคำด่าทอประณามของหนานหว่านเยียน  กลับมิทันได้อับอายกลายเป็นโทสะแล้วด้วยซ้ำ  ก็วุ่นวายสับสนจนเสียขบวนอย่างหมดท่าแล้ว  นางรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงสุดเปรียบปาน

นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า  หนานหว่านเยียนกลับสติปัญญาสูงล้ำถึงเพียงนี้  นางไม่ได้เปิดเผยเบาะแสมีใครอยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อยนิด  หนานหว่านเยียน——กลับสามารถคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้