“แล้วเกาเหมียวเหมี่ยวอยู่ที่ใด?” ลั่วชิงยวนถาม
ลุงเฉิงตอบว่า “มิทันได้สังเกตเห็นนางขอรับ ผู้คนมากมายนัก แต่นางน่าจะยังมิตายขอรับ”
ลั่วชิงยวนคิดว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเกาเหมียวเหมี่ยว การขึ้นเขาน่าจะยังยากอยู่บ้าง
รอจนคนตายเกือบหมดแล้ว นางคงจะถอดใจไปเอง
จากนั้นหลายคนก็ติดตามลุงเฉิงกลับไปกินข้าว
ที่โต๊ะอาหาร อวี๋หงถามว่า “ลุงเฉิง เมื่อก่อนติดตามอวี๋ตันเฟิ่งด้วยหรือ?”
ลุงเฉิงพยักหน้า “ขอรับ ท่านเจ้าเมืองอวี๋สร้างเมืองแห่งภูตผีแต่เริ่มแรก ข้าน้อยก็อยู่ที่นั่นแล้ว”
“ท่านอยากทราบเรื่องใด หากข้าน้อยจำได้ ก็สามารถบอกท่านได้”
“อย่างไรเสียข้าน้อยก็อายุมากแล้ว บางเรื่องก็จำได้มิแม่นยำนักขอรับ”
อวี๋หงพยักหน้า “ดี ถ้าเช่นนั้นกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยคุยกันให้ดีเถิด”
หลังจากกินข้าวเสร็จ อวี๋หงก็สนทนากับลุงเฉิงเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องราวในอดีตของอวี๋ตันเฟิ่ง
อวี๋หงอยากทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอวี๋ตันเฟิ่งในเมืองแห่งภูตผี
ลั่วชิงยวนว่างอยู่ จึงทำได้เพียงพาคนใบ้เดินเล่นในภูเขา
เมื่อเดินไปยังจุดที่สูงที่สุดของภูเขา ทิวทัศน์ที่เห็นก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้ริมหน้าผา ลั่วชิงยวนก็นั่งลงพิงต้นไม้
เบื้องหน้าคือขุนเขาสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยเมฆและหมอก มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับแดนสวรรค์
“มิคิดว่าบนเขานี้จะมีทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้”
“ก่อนหน้านี้ความจำเกี่ยวกับเมืองแห่งภูตผีมีแต่ความอันตราย กลับละเลยทิวทัศน์บนเขานี้ไป”
คนใบ้หยิบกิ่งไม้มาเขียนลงบนพื้นช้า ๆ ว่า “ในยามคับขันถึงชีวิต ย่อมไม่มีใจชมทิวทัศน์”
ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ชีวิตแทบจะดับสูญ จะมีแก่ใจชมทิวทัศน์ได้อย่างไร”
“ทิวทัศน์นี้มีไว้ให้ผู้ที่อยู่บนยอดเขาชม”
คิดไปแล้วที่นี่คงเป็นสถานที่ที่อวี๋ตันเฟิ่งเลือกสรรมาอย่างดี เพราะตำแหน่งที่ตั้งแห่งนี้เต็มไปด้วยขุนเขาสลับซับซ้อน แฝงด้วยพลังมังกร เป็นทำเลฮวงจุ้ยที่ดี
“เอาเถิด มิต้องเร่งเขา”
“ไปยกศพของอวี๋ตันเฟิ่งออกมากันก่อน”
เมื่อฟ้ามืด ศพของอวี๋ตันเฟิ่งก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา
เมื่ออวี๋หงเห็นศพ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำในทันที เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน โทสะในใจปะทุขึ้นราวกับอยากจะสับโหยวจิ้งเฉิงเป็นพัน ๆ ชิ้น
ลั่วชิงยวนเย็บศพตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านมาหลายปี ถึงแม้ศพจะถูกผนึกไว้แต่ก็ยังมีการเน่าเปื่อยไปบ้าง
มิอาจเย็บศพให้กลับคืนสภาพเดิมได้แล้ว จึงดูค่อนข้างแปลกประหลาดนัก
อวี๋หงสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ข้าจะนำศพกลับไป”
“หลายปีมานี้ นางร่อนเร่อยู่ภายนอก ถึงเวลาที่นางควรกลับบ้านแล้ว”
ลั่วชิงยวนพยักหน้า
เพื่อมิให้ผู้อาวุโสสกุลอวี๋ทั้งสองเห็นศพ อวี๋หงตัดสินใจเผาศพ ในคืนนั้นเขาเผาร่างของน้องสาวจนเป็นเถ้ากระดูกแล้วนำกลับไปเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
อ่านมาสามร้อยกว่าตอน ยอมรับว่านางเอกเป็นคนเก่ง เก่งแต่ทำเรื่องโง่ๆ โง่จนอ่านไปเจ็บอกไป โมโหจนจะเป็นลม ทำเพื่อผู้ชายแบบอิอ๋องไม่รู้กี่รอบ อีกกี่ตอนนางเอกถึงจะฉลาด...
หายไปไหน ไม่อัพหลายวันแล้ว ติดอยู่ตอนที่ 1386 รออ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้น๊า...
รู้ว่ารวยแย่เองก่อความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ทำไมไม่วางยาให้เป็นใบ้ บางบทก็ฉลาดเกินบทจะโง่ก็สุดจริง...
อาจารย์ก็ถูก รั่วให้เพียงใช้ประโยชน์ ตัวเองก็ถูกสู้เชิงหัวใจประโยชน์ เกือบตายหลายครั้ง แต่ก็ไม่ไปไหนสักที คอนจบรักกันดูดดื่มแน่นอนสินะ 5555...
มือสังหารในวังอ๋องก็องค์ชายห้าแหละ เดาตั้งแต่หมอกู้พูดว่า ไปหมดแล้วท่านเลิกแสดวได้แล้ว 555...
องค์ชายห้าตั้งใจ นางเอกก็รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งเข้าใกล้องค์ชายห้ายิ่งมีเรื่องแต่ก็ไม่เลิก55555...
ยังรออ่านนะคะ...
นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายทำไมถ้านิสัยยังเหมือนเดิม...
ผัวอย่างเลว้าย แต่นางเอกก็คงรักผัวขั้นสุด เกือบทิ้งชีสิตหลายครั้งเพราะช่วยผัว ในขณะที่ผัวก็พยายามฆ่าตัวเองตลอด กู่คงเป็นเพียงข้อองมากกว่า 5555...
เกิดอะไรขึ้นคะ ไม่เขียนต่อแล้วเหรอ...