ย้อนเวลาใหม่ครั้งนี้ขอยอมง้อเธอด้วยรัก นิยาย บท 9

บทที่ 8 ขนาดของความฝัน (1)

หลังจากแยกย้ายกับรันบรรยากาศในรถเป็นไปด้วยความสงบ ไร้เสียงพูดคุย ปันก้มหน้าเล่นมือถือสไลด์ดูหน้าจอไปมา หนุ่มน้อยทำทีไม่สนใจผู้ชายที่ขับรถข้าง ๆ ทางฝั่งคีร์มีเหล่มองปันบ้างแต่เมื่อเห็นพฤติกรรมทำเป็นเมินของเด็กหนุ่ม เขาก็หัวเราะส่ายหัวกับตัวเอง ปันได้ยินเสียงจึงหันขวับถามด้วยเสียงฉุน ๆ

“พี่หัวเราะอะไร”

“เปล่าไม่มีอะไร”

“ต้องมีสิ พี่มองผมแล้วก็หัวเราะ ผมเห็นนะ”

เด็กชายถามเขาด้วยน้ำเสียงขุ่น คีร์หันมามองหน้าพลางทำท่ายักไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงยียวน คีร์เพ่งมองทางข้างหน้าเลี้ยวเข้าซอยคอนโด จอดรถไว้ตรงมุมประจำหลังจากจอดเสร็จเขาก็พูดขึ้น

“ก็เห็นทำหน้าบึ้งอย่างกับพี่ไปทำอะไรไว้ให้ พี่ก็งงสิว่าพี่เคยไปทำอะไรให้เราเหรอ” คีร์ลองเปิดประเด็นถามกลับ จริง ๆ เขาพอเดาสาเหตุได้บ้าง เหตุผลหลัก ๆ ที่เด็กหนุ่มไม่ค่อยชอบเขาในชาติที่แล้วเป็นเพราะช่วงเวลานี้ในตอนนั้น ชายหนุ่มเริ่มบ้าโปรเจกต์เข้าเส้นเลือด เวลานัดกินข้าวเขาเลยชินกับการปล่อยให้หญิงสาวรอเก้อไม่ไปสายก็ลืมไปเสียสนิท เป็นหนักเข้าจนรันเสียใจไปพักใหญ่ ๆ เด็กน้อยที่หวงพี่สาวราวจงอางหวงไข่ มีหรือจะปล่อยเรื่องแบบนี้ให้รอด

หลังจากที่ปันกลับไปหาแม่ เขาก็เริ่มสาธยายถึงนิสัยด้านไม่ดีของคีร์ให้แม่ฟัง รันกังวลจุดนี้ค่อนข้างมากเธอเคยปรึกษาเขาแต่ทว่าเขากลับตอบเพียง ‘ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน’ ว่ากันตามจริงพอคบกันไปได้พักใหญ่ ๆ ชายหนุ่มก็เริ่มชินกับการที่ครอบครัวรันไม่ค่อยชอบหน้า แต่ก่อนเขาคิดว่าปลงตกไปก็เป็นพอจะเสียเวลาพิสูจน์ตัวเองไปทำไม ทว่าในช่วงที่เริ่มวางแผนแต่งงานตอนนั้นเขาก็เริ่มหาโอกาสทำดีกับครอบครัวรันบ้างเพราะอยากให้หญิงสาวหายกังวลใจแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นด้วยความรักและต้องการให้ลูกสาวสมหวังแม่ของรันจึงตัดสินใจยกรันให้ ด้วยเงื่อนไขข้อเดียวคือ ต้องดูแลรันให้ดี

ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าย้อนเวลากลับมาชาตินี้ เขามีโอกาสได้แก้ไขเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างเขาก็ควรแก้ไขความสัมพันธ์ของครอบครัวคนรักด้วย ทั้งปันและแม่ของรันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเขาต่างหากที่เลวทำร้ายหญิงสาวแก้วตาดวงใจของครอบครัวเขาซ้ำไปมาอย่างนั้น ด้วยสาเหตุนี้เขาจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือปันทันที

เด็กหนุ่มได้ยินก็ทำหน้ามุ่ยทว่าไม่ตอบกลับอะไรเขาเดินต้อย ๆ ตามคีร์ขึ้นไปยังห้องพักบนคอนโด คีร์หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาก่อนจะแตะประตูเพื่อแสกนเข้าห้อง เมื่อประตูห้องเปิดเสียงร้องเมี้ยวก็ดังขึ้นเจ้าโจกระโดดลงมาพันแข้งพันขาพ่อของมัน พลางเหลือบมองแขกหน้าตาไม่คุ้นทว่าด้วยนิสัยขี้อ้อน เจ้าแมวจึงเดินไปทักทายอีกฝ่ายโดยการเอาตัวถูขา

“นี่พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ” ปันถามก้มตัวลงไปลูบหัวเจ้าแมวน้อย อุ้มมันขึ้นมาพลางเกาคางให้

“แมวของพี่กับรันน่ะ ชื่อโจ”

คีร์ถอดรองเท้าเดินไปในห้องนอน หยิบถุงนอนในตู้เสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่ง เอาออกมาวางตรงโซนห้องนั่งเล่น

“นายนอนตรงห้องนั่งเล่นแล้วกัน ขาดเหลืออะไรก็บอกเปิดแอร์นอนได้ตามสบาย” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น ปันเลยรีบพูดขัดขึ้นมาทันที

“ผมไม่อยากนอนข้างนอก ผมนอนกับพี่ไม่ได้เหรอ” จริง ๆ แล้วเด็กหนุ่มแอบกังวลตรงนอนแปลกที่แปลกทางแบบนี้ แถมต้องนอนคนเดียวด้านนอกเขากลัวจะเจอสิ่งที่ไม่อยากเจอมากกว่า ไม่เอาด้วยหรอก จินตนาการของเขาคิดไปถึงภาพตัวเองที่นอนแล้วเจอร่างหญิงสาวนิรนามนั่งมองจากปลายเตียง บรื๋อแค่คิดก็น่ากลัวชะมัด

“เอ้า บทจะอ้อนก็อ้อนเฉย เมื่อกี้ยังทำตาเขียวใส่กันอยู่เลย” คีร์หัวเราะก่อนจะหยิบถุงนอนไปปูไว้ในห้องของตน เขาเดินกลับออกมายื่นคีย์การ์ดสำรองให้เด็กหนุ่ม พลางอธิบายคร่าว ๆ ว่าห้องน้ำอยู่ไหน อยากกินอะไรก็หยิบจากตู้เย็นได้ เด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นความใจดีที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ กำแพงของเขาเลยลดลงเรื่อย ๆ คีร์อธิบายจบก็เดินไปเปิดตู้เย็นเทน้ำดื่ม

“ผมถามอะไรหน่อยดิ”

“อือถามมาได้”

“พี่กับพี่รันไปถึงขั้นไหนกันแล้วอะ”

/พรู่ดดดดดดดด!!/ น้ำที่กำลังกลืนลงคอถูกพ่นออกมาด้วยความตกใจอัตโนมัติชายหนุ่มสำลักน้ำอยู่พักใหญ่ ปันมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าแหยะ ๆ

“สกปรกอะ” เด็กหนุ่มไม่ปิดบังสีหน้าสายตาที่ดูเหมือนจะรับไม่ได้กับพฤติกรรมคนตรงหน้า เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร หมุนตัวไปเปิดกระเป๋าเดินเข้าห้องน้ำทิ้งให้คีร์ยืนตะโกนไล่หลังตามมา

“ถามอะไรเนี่ย”

คืนแรกของการมาค้างคืนผ่านไปด้วยความสงบ วันถัดมาปันที่เริ่มเห็นความสะดวกสบายกับการพักอยู่กับชายแปลกประหลาดคนนี้ก็เริ่มถามความเห็นชายหนุ่มว่าถ้าเขาอยากจะอยู่ด้วยสักพักใหญ่ ๆ จะเป็นไรไหมโดยเขาจะเอาเงินเก็บช่วยออกค่าห้องให้ ไม่ต้องให้พี่สาวช่วยจ่ายตังค์ คีร์ไม่ติดใจอะไรเขาคิดว่าดีเสียอีกรันจะได้ไม่ต้องคอยพะวงที่น้องชายไปนอนที่อื่น

ในช่วงอาทิตย์แรกเขาและปันจะออกไปกินข้าวเย็นกับรันทุกวัน รันค่อนข้างเกรงใจเขาที่น้องชายหาเรื่องเดือดร้อนไปรบกวนแต่เขาพยายามปลอบว่าไม่เป็นไร เรื่องเพียงเท่านี้เขายินดีช่วย ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมขึ้นม.5 ของปันพอดีเลยทำให้ปันมีเวลาว่างมากพอที่จะพักอยู่กับเขาได้อีกหลายวัน

ความสัมพันธ์ของเขาและเด็กชายจะเรียกว่าดีก็ไม่ใช่จะเรียกว่าไม่ก็ไม่เชิงเพราะทั้งคู่บางคราวก็เถียงกันไปมาบ้าง บางคราวก็มีพูดคุยเรื่องทั่วไปบ้าง อาจจะน้อยครั้งที่จะคุยกันด้วยดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทว่าในคืนนี้บางอย่างกลับเปลี่ยนไป ระหว่างที่คีร์เตรียมนอนหลับ หนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนพื้นก็เปิดบทสนทนาขึ้น

“ก็แบบพี่มีความฝันว่าอยากเป็นเจ้าของบริษัท ต้องมีชื่อระดับประเทศ แต่ถ้าอย่างผมแค่ต้องการเป็นคนทั่วไป ที่ได้วาดรูป เป็นพนักงานเงินเดือนก็ได้ ไม่ได้ติดอะไรแค่ไม่ได้เห็นภาพตัวเองเป็นคนยิ่งใหญ่”

“ก็ไม่ผิดนี่ ขนาดความฝันของคนเรามันมาเทียบกันไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไมอะ”

“ความฝันมันก็เป็นเชื้อเพลิงในการใช้ชีวิต วันนี้เรามีความฝันเราสามารถรู้ได้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ชอบอะไร มีแรงบันดาลใจที่จะใช้ชีวิตต่อ แบบนี้มันไม่ยิ่งใหญ่เหรอ ความฝันเรามันต่างกับพี่ตรงไหนในเมื่อเป้าหมายก็คือการเดินไปหามันเหมือนกัน” หลังคีร์พูดจบปันก็เงียบอยู่กับตัวเองตกผลึกคำพูดของชายหนุ่ม เขาคล้ายกะเทาะความไม่มั่นใจบางอย่างออกไปทว่าก็ยังเลาะเปลือกความกลัวออกไปไม่หมด

“แล้วถ้าคนในครอบครัวพี่ไม่เห็นด้วยล่ะ”

“ก็คงต้องย้อนคิดแหละนะว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่มั่นคง เพราะเขามองว่ามันเสี่ยงหรือเพราะว่าเขาอยากให้เราทำอย่างอื่น เหตุผลพวกนั้นมันคืออะไร” ปันเงียบไปสักพักพลิกตัวไปนอนมองเพดานก่อนจะพูดต่อ

“มันจะไม่บั่นทอนเหรอ” คีร์ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิกับเตียงพลางอธิบายต่อด้วยความเต็มใจ

“แน่นอนว่าบั่นทอนสิ คนที่เรารักไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราอยากทำแต่เราก็ต้องถามตัวเองว่าได้พยายามกับมันมากพอหรือยัง ถ้าเขามองว่าส่วนไหนเป็นปัญหา เราพยายามแก้ส่วนนั้นไหม พยายามทำให้เขาเห็นไหมว่าความฝันนั้นมีค่ากับเรามากจริง ๆ แม้ว่าเขาจะไม่สนับสนุนก็ตาม”

“นั่นสิ ผมยังไม่พยายามเลย” น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มคลอ อันที่จริงเขาเก็บความเครียดนี้สั่งสมมานานเกินไป ในวันที่เส้นทางของเขาถูกแม่มองว่าเป็นไปไม่ได้ เขากลับรู้สึกทุกข์ใจจนลืมมองว่าเขายังพยายามกับมันไม่มากพอ ความโชคดีอย่างหนึ่งของเขาคือเขามีพี่รัน พี่สาวที่คอยสนับสนุนไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหน เขาจำได้ดีว่าตอนที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังพี่รันแค่ยิ้ม บอกมาว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าวันหนึ่งแกล้มแกก็มีพี่ วันข้างหน้าถ้าอาชีพแกมันไม่ทำให้แกรวย มันทำให้แกลำบากแกก็มีพี่จะกลัวอะไร ตราบใดที่พี่ไม่หายไปจากโลกนี้ พี่รับปากได้ว่าแกจะไม่โดดเดี่ยว’ ประโยคของพี่สาวดังก้องในหัวเขาอีกครั้ง ขนาดพี่รันยังเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้ ทำไมเขาต้องหวาดกลัวด้วยนะ เขาพยายามหยุดความเสียใจนั้นไม่อยากร้องไห้เวลานี้ จึงชวนคุยถามคนที่นั่งอยู่บนเตียงกลับ

“งั้นพี่ล่ะ สมัยมัธยมพี่มีเรื่องที่เครียดสุด ๆ ไหม” คีร์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงความจริงจังไว้หลายส่วน

“มีสิ ตลอดเวลาที่เรียน ม.ปลาย สิ่งเดียวที่ทำให้พี่เครียดสุด ๆ คือ มีผู้หญิงมาสารภาพรักพี่ตลอด เฉลี่ยได้เลยว่าแต่ละห้องเรียนของแต่ละชั้นต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคน พี่เลือกไม่ถูกว่าจะรับรักใครดี เครียดมากเลยล่ะ”

“.......................” คีร์งุนงงเล็กน้อยที่หลังจากเขาพูดจบปันกลับพลิกตัวนอนหันหลังให้ไม่พูดไม่จาและนอนหลับไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ย้อนเวลาใหม่ครั้งนี้ขอยอมง้อเธอด้วยรัก