แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 222

พอได้ยินว่ามีหลักฐาน สีหน้าของจงจิ่นหลินก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้น และร่างกายของจงฮั่นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาเช่นกัน

เมื่อกัวหงหยางได้ยินดังนั้น เขาก็ขอให้สองสามีภรรยาคู่นั้นนำหลักฐานออกมาเลย

และสิ่งที่เรียกว่าเป็นหลักฐาน ก็คือพยานบุคคลและพยานวัตถุนั่นเอง

ไม่นาน คนสองคนก็ถูกเรียกตัวเข้ามา

พยานเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ซึ่งผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆมาก และเป็นแบบที่เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ไม่มีใครสังเกตเห็นได้เลย

แต่ผู้หญิงกลับเป็นผู้หญิงตัวเล็กและมีรูปโฉมสวยงามคนหนึ่ง ดูจากอายุแล้วก็ไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปีเช่นกัน นางน่าจะตั้งครรภ์ด้วย ดังนั้นจึงดูอวบอิ่มเล็กน้อย

พอทั้งสองคนเดินเข้ามาก็คุกเข่าลงคำนับ หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงโดยไม่ส่งเสียงใดใด

จงจิ่นหลินที่เดิมทีคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหลักฐานอยู่ในใจ ภายในสายตาก็มีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นมาเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนั้น

“คนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงเป็นผู้ใดกัน?” กัวหงหยางถาม

“ข้าน้อยอู๋ซื่อขอรับ” ชายธรรมดาๆคนนั้นกล่าว

“ข้าน้อยนางสาวหวังจีนฮวาเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

เพียงแต่ นางเรียกแทนตัวเองว่านางสาว และไม่ใช่นาง แต่นางดันแต่งตัวเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และยังกำลังตั้งครรภ์อีกด้วย

เมื่อกัวหงหยางได้ยินเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะมองไปทางลั่วเสี่ยวปิง

ที่ลั่วเสี่ยวปิงมาที่นี่ในวันนี้เพราะเรื่องของจางเอ้อหลาง ซึ่งนางได้อธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้เขาฟังล่วงหน้าแล้ว และขอให้เขาช่วยเอาใจใส่จางเอ้อหลางให้มาก ๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นลั่วเสี่ยวปิงก็มีบุญคุณต่อครอบครัวของเขาอีกด้วย ดังนั้นกัวหงหยางก็เลยตอบตกลงไปแล้ว

เพียงแต่เขากลับไม่รู้เรื่องคดีฆาตกรรมที่จู่ ๆ ก็เข้ามาพัวพันคดีนี้เลย แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด ดังนั้นมันจะเกี่ยวข้องกับลั่วเสี่ยวปิงด้วยหรือไม่?

แท้จริงแล้วในตัวของลั่วเสี่ยวปิงผู้นี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่นะ?

กัวหงหยางรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่กลับรีบละสายตาออกไปจากตัวของลั่วเสี่ยวปิงอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อพวกเจ้าสองคนเป็นพยาน ไหนลองบอกเรื่องที่พวกเจ้ารู้มาซิ” หลังจากที่ถอนความคิดกลับคืนมา กัวหงหยางก็มองไปที่คนสองคนในห้องโถง สำหรับการแสดงออกทางสีหน้าของจงฮั่นและลูกชายของเขานั้น แน่นอนว่าเขาต้องเห็นมันอยู่แล้ว โดยเขารู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสองคนอย่างแน่นอน แล้วสีหน้าของเขาก็ได้เคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเล็กน้อย

อู๋ซื่อยังไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปากพูดอะไร ในขณะนั้นเองหวังจีนฮวา ก็เงยหน้าขึ้น แล้วค่อยๆหันไปก้มศีรษะคำนับกัวหงหยางอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“รายงานใต้เท้า ข้าน้อยนางสาวหวังจีนฮวา เป็นคู่หมั้นของเซวียยี่ซานแห่งหมู่บ้านเซวียเจีย และคู่หมั้นของข้าน้อยเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาในเมือง และเป็นเพื่อนร่วมชั้นของจงจิ่นหลินเจ้าค่ะ ในวันนั้น......”

ที่แท้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หวังจีนฮวาที่ไม่ได้พบคู่หมั้นของนางมาเป็นเวลานานได้ฉวยโอกาสในการไปตลาดไปพบคู่หมั้นที่สำนักศึกษา แต่นางกลับได้รับความสนใจจากจงจิ่นหลินไปเสียแล้วเนื่องจากรูปลักษณ์ที่สวยสดงดงามของนาง

หลังจากนั้น จงจิ่นหลินก็เข้าหาเซวียยี่ซานโดยมีเจตนา และได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกับเซวียยี่ซาน

ครั้งหนึ่งตอนที่เซวียยี่ซานไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนหวังจีนฮวา จงจิ่นหลินก็ได้เชื้อเชิญให้ทั้งสองไปรับประทานอาหารด้วยกัน

ถึงแม้ว่าหวังจีนฮวาจะไม่อยากติดต่อกับผู้ชายคนอื่น แต่เนื่องจากเป็นคำเชิญจากเพื่อนร่วมชั้นของคู่หมั้น หวังจีนฮวาก็เลยไม่สามารถปฏิเสธได้

ด้วยเหตุนี้ จงจิ่นหลินจึงพาทั้งสองคนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

และในขณะนั้นจงจิ่นหลินได้มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจงจิ่นหลินจึงฉวยโอกาสขณะที่ทั้งสองคนไม่สนใจใส่ของบางอย่างลงไปในอาหาร และหลังจากรับประทานอาหารเซวียยี่ซานกับหวังจีนฮวาก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว

รอจนกระทั่งตอนที่หวังจีนฮวาฟื้นขึ้นมา เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของนางก็หายไปแล้ว และนางกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของจงจิ่นหลิน

หวังจีนฮวารู้สึกอับอายและเคียดแค้นมากจนอยากจะตาย และคิดว่าคู่หมั้นได้ทรยศตัวเองเสียแล้ว นางก็เลยคิดที่จะฆ่าตัวตาย

แต่ในเวลานั้นเองจงจิ่นหลินกลับใช้อำนาจข่มขู่นางว่าเซวียยี่ซานอยู่ในเงื้อมมือของเขา ถ้านางฆ่าตัวตายหรือไม่เชื่อฟังเขา เขาก็จะฆ่าคู่หมั้นของนางซะ

เพื่อเซวียยี่ซานแล้ว หวังจีนฮวาจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเอาไว้

“ใต้เท้า เดิมทีข้าน้อยคิดว่าถ้าตนเองเชื่อฟังเขาให้ดี คู่หมั้นก็จะไม่เกิดเรื่อง ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างเอาตัวรอดไปวัน ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าน้อยกลับคิดไม่ถึงเลยว่าจงจิ่นหลินไอ้เจ้าสัตว์ร้ายคนนั้นจะทำให้เขา.....”

แรกเริ่มเดิมทีตอนที่หวังจีนฮวาเล่าถึงอดีตก่อนหน้านี้ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้ในตอนนี้ นางก็สะอึกสะอื้นมาตั้งนานแล้ว

ผู้หญิงตระกูลเซวียคนนั้นร้องไห้จนเกือบจะหมดสติไปแล้ว ส่วนพ่อของเซวียยี่ซานก็ขอบตาแดงก่ำ และเมื่อผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่ได้ยินถึงตรงนี้ ในสายตาที่พวกเขามองไปที่จงจิ่นหลินก็ล้วนแต่มีความโกรธอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

แม่นางที่ถูกเขารังแกช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ

ในขณะที่ลั่วเสี่ยวปิงกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น ในสายตาที่กำลังมองดูหวังจีนฮวาก็มีความเป็นห่วงกังวลปรากฏขึ้นมาด้วย

ยุคสมัยนี้มักจะโหดร้ายสำหนับผู้หญิงเสมอ ไม่รู้ว่าการที่หวังจีนฮวา ถูกพาตัวมาเป็นพยานนั้นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

“เจ้า......เจ้าพูดโจมตีใส่ร้ายข้า” จงจิ่นหลินโกรธมาก

“ใช่การพูดโจมตีใส่ร้ายเจ้าหรือไม่เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจเลยงั้นหรือ? อย่าลืมนะว่าเมื่อสักครู่นี้ข้าเพิ่งจะตรวจชีพจรให้เจ้าไปแล้ว” ลั่วเสี่ยวปิงพูดอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

“หึ ในโลกนี้จะมีผู้หญิงประกอบอาชีพเป็นหมอได้อย่างไร? และคนที่มีฝีมืออยู่บ้างมีผู้ใดบ้างที่ไม่มีอายุมากแล้ว? คนที่ไม่มีความรู้เรื่องวิชาแพทย์เลยอย่างเจ้ามาก่อกวนอะไรอยู่ที่นี่” จงฮั่นกล่าว

แล้วเขาก็หันไปพูดกับกัวหงหยางทันทีว่า “ใต้เท้า ผู้หญิงคนนี้ก่อกวนศาล ดูหมิ่นใต้เท้า ขอให้ใต้เท้าจัดการลงโทษนางด้วยขอรับ”

“บังอาจ!” กัวหงหยางตบไม้ปลุกสติอีกครั้ง

“ซี๊ด......” และจงฮั่นก็กัดลิ้นของเขาอีกครั้งเช่นกัน

“แม่นางลั่วมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ภรรยาของข้าตั้งครรภ์ลูกแฝดและคลอดยาก นางก็เป็นคนช่วยชีวิตเอาไว้ นางเป็นหมอเทวดาที่สมควรได้รับการยอมรับแล้ว เจ้าสงสัยในตัวนางได้อย่างไร?”

แน่นอนว่าคำพูดนี้ของกัวหงหยางไม่ใช่คำพูดที่พูดให้จงฮั่นฟัง แต่พูดให้ประชาชนที่กำลังมุงดูอยู่ฟังต่างหาก

อย่างไรเสียถ้าไม่อธิบาย มันคงไม่ใช่เรื่องดีเลยถ้าคนทั่วไปจะคิดว่าลั่วเสี่ยวปิงเป็นหมอกำมะลอที่มาก่อกวนศาลเช่นกัน

และภายในเมืองหลินอานทั้งหมด ทุกคนก็รู้ว่ามีหมอเทวดาหญิงคนหนึ่งช่วยชีวิตฮูหยินของนายอำเภอและลูกแฝดสองคนของเขาเอาไว้ พออธิบายออกไปเช่นนี้ คำพูดของลั่วเสี่ยวปิงก็เลยมีความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็นอย่างมาก

เป็นดังที่คาดการณ์ไว้  พอกัวหงหยางพูดออกมาดังนั้น ผู้คนที่แต่ก่อนแสดงความเคลือบแคลงสงสัยลั่วเสี่ยวปิงก็กำลังมองไปที่ ลั่วเสี่ยวปิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรงไปเสียแล้ว

ส่วนสองพ่อลูกตระกูลกัวนั้น กลับมีสีหน้าที่หมดอาลัยตายอยากไปหมดแล้ว

เมื่อกัวหงหยางได้เห็นผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็มองไปยังพยานอีกคนหนึ่งอู๋ซื่อ “อู๋ซื่อ เจ้ามีอะไรอยากพูดไหม?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง