ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องจะเพิ่งออกมาจากตำหนักฉือหนิง เขาก้าวเดินมาข้างหน้าแล้วคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน
“น้องชายขอคารวะพี่สะใภ้”
การที่เขาเรียกนางเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่ฮองเฮา แสดงให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้
เหลียนซวงที่ชำเลืองมองรุ่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์
รุ่ยอ๋องช่างรูปงามเสียจริง! หน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกมารยาทงามสง่า ลักษณะเช่นนี้ดีกว่าฮ่องเต้ทรราชที่เอาแต่ฆ่าคนตั้งมาก
หากผู้ที่คุณหนูแต่งด้วยคือ...
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหลียนซวงก็รีบหยุดความคิดที่ไร้สาระนี้ทันที
กฎระเบียบในวังเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่อาจเทียบกับในค่ายทหารที่สามารถพูดคุยกับบุรุษอย่างไรก็ได้
เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะจากไป รุ่ยอ๋องพลันเอ่ยปากแสดงความเป็นห่วงออกมา
“การประหารเมื่อวานนี้พี่สะใภ้ได้รับความตระหนกหรือไม่? ”
เฟิ่งจิ่วเหยียนที่จดจ่ออยู่กับความคิดตอบกลับอย่างกลัวพิกุลจะร่วงว่า “ไม่”
“เมื่อวานยามที่พี่สะใภ้ปราบพยศม้าตัวนั้น ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดี ท่านฝีมือดียิ่ง ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงโปรดสตรีที่มีทักษะการขี่ม้า พี่สะใภ้เริ่มต้นจากเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะได้รับความโปรดปราน”
น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับเป็นมิตรสหายของนาง
ความประทับใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนมีต่อเขานับว่าไม่เลวเลย เมื่อเห็นเขาที่สวมชุดขาวทั้งร่าง ความทรงจำที่เก่าจนฝุ่นจับก็วนเวียนอยู่ในหัวของนาง ความรักความทุกข์ทรมานผสมผสานปะปนไม่อาจแยกได้
“ขอบใจเจ้ามาก”
แต่นางไม่ต้องการ
ที่นางเรียนขี่ม้ายิงธนู ไม่ใช่เพื่อเอาอกเอาใจบุรุษ
ณ ตำหนักฉือหนิง
ไทเฮากำลังอบรมสั่งสอนเฟิ่งจิ่วเหยียน
“เจ้ามีฐานะเป็นถึงฮองเฮา ต้องดูแลจัดการเหล่าสตรีในวังหลังให้ดี ตั้งแต่สนมชั้นเฟยทั้งสี่ไปจนถึงเหล่านางกำนัลและขันที
“นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมและตักเตือน
“อย่างเช่นเรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานหวงกุ้ยเฟยแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเป็นฮองเฮาก็ต้องคอยโน้มน้าวฝ่าบาท ให้ฝนตกทั่วฟ้า เช่นนี้จึงจะรักษาสมดุลของทุกฝ่ายเอาไว้ได้
“อย่าได้ดูถูกวังหลังไป เบื้องหลังสนมนางในเหล่านั้น ล้วนมีข้าหลวงรับราชการอยู่วังหน้า...”
ดูเผิน ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหมือนจะตั้งใจฟัง แต่ที่จริงแล้วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้แต่น้อย
เข้าวังมาสองวันแล้ว นางไม่ได้ลืมความแค้นที่ต้องชำระ
คืนนี้นางตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบที่ตำหนักหลิงเซียวซักหน่อย
ณ ตำหนักหลิงเซียว ในเวลาเดียวกัน
ห้องภูษาหลวงส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่มา ผ้าแพรต่วนวาววับส่องประกาย
สาวใช้กล่าวอย่างประจบประแจง
“พระสนม ฝ่าบาทช่างโปรดปรานรักใคร่ท่านเหลือเกินเพคะ ผ้าไหมฝูกวง[1]ที่แคว้นปา[2]ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ล้วนแต่พระราชทานเป็นรางวัลให้ท่านทั้งหมด หากคืนนี้พระสนมสวมอาภรณ์เหล่านี้ไปร่วมบรรทมจะต้องทำให้ฝ่าบาทไม่อาจละสายตาได้เป็นแน่เพคะ!”
รอยยิ้มของหวงกุ้ยเฟยนั้นเป็นความงามที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา
แต่ทันใดนั้นเองรอยยิ้มของนางก็เลือนหาย นางจ้องตรงไปยังลายปักรูปดอกหลิงหลานบนอาภรณ์ตัวนั้น ใบหน้าแสดงความกรุ่นโกรธ
“นี่ปักลายอะไรกัน!”
“พระสนมโปรดระงับโทสะ...”
“โบยแปดสิบที ขับไล่ออกจากวัง” หวงกุ้ยเฟยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา รวมทั้งโยนอาภรณ์ตัวนั้นทิ้งโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
แม้แต่เหล่าสาวใช้เองยังรู้สึกว่านี่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน โบยแปดสิบที ย่อมเป็นการเอาชีวิตแล้ว
เพียงแค่วันเดียวช่างปักในห้องภูษาหลวงก็ตายไปสิบสามคน ผู้คนในวังล้วนหวาดผวา กลัวว่าจะไปทำให้หวงกุ้ยเฟยไม่พอใจเข้า
ยามค่ำ ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักหลิงเซียว ในตำหนักมีเสียงอ่อนหวานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าบาทเพคะ ลายปักนั้นช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะสวมออกไปข้างนอกได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทเองก็รู้สึกว่าหม่อมฉันทำผิดอย่างงั้นหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางอย่างไร้ขอบเขต “ไม่ผิด สมควรฆ่าทิ้ง”
ทันใดนั้นเองเขาก็มองขึ้นไปบนขื่อของเรือน ชุดคลุมยาวสะบัดไหว อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อชิ้นหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหลังคา
อาวุธลับพุ่งทะลุแผ่นกระเบื้อง เห็นเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวอยู่บนหลังคา
ยามนี้เองเหล่าองครักษ์เพิ่งจะรู้ตัวว่าตำหนักหลิงเซียวมีนักฆ่าลอบเข้ามา แต่ละคนต่างชักดาบออกจากฝักเตรียมที่จะสังหารนักฆ่า
พวกเขาบุกขึ้นไปบนหลังคา เกือบจะล้อมนักฆ่าเอาไว้ได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่านักฆ่าผู้นั้นจะมีฝีมือขนาดนี้ เพียงชั่วพริบตาก็หายตัวไปท่ามกลางหมอกควัน
เหล่าองครักษ์ไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน จึงได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงการวัดกันที่ความเร็วเท่านั้น
วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียน แม้แต่อาจารย์ของนางยังเคยชมว่านางเป็นอัจฉริยะยากที่จะพานพบ
คืนนี้นางลอบเข้าตำหนักหลิงเซียวสำเร็จ ทั้งยังหลบองครักษ์พวกนั้นและกลไกลับได้ กลับไม่อาจซ่อนตัวจากฮ่องเต้ทรราชนั่นได้
ดูเหมือนกำลังภายในของฮ่องเต้ทรราชนั่นจะลึกล้ำเป็นอย่างมาก จึงสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนาง
เป็นนางที่ประเมินศัตรูต่ำไป
นางเกือบจะออกจากตำหนักหลิวเซียวอยู่แล้ว ทันใดนั้นด้านหน้าพลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบดบังทางหนีของนาง
คนผู้นั้นสยายผมสีดำขลับ ชุดคลุมดำด้านหน้าแง้มออกเล็กน้อย คอเสื้อเผยให้เห็นถึงลูกกระเดือกและเส้นเอ็นที่ขยายลงไปใต้อาภรณ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายที่มืดมนและโหดเหี้ยม
เขาไม่ได้พกอาวุธใดติดตัวมา จึงอาศัยฝ่ามือต่างกระสวยพุ่งเข้าโจมตีไปที่นาง
เฟิ่งจิ่วเหยียนตระหนักได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่ทัพหญิงปราบพยศฮ่องเต้ร้าย