ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 127

โหลชีก็เข้าใจในความหมายของเขาเช่นกัน หากพูดว่าลัทธิสูงไม่สามารถล่วงเกินได้ ลัทธิล่างก็ต้องไม่สามารถล่วงเกินได้เช่นกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นปฏิปักษ์กัน เช่นนั้นจึงต้องยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่งสินะ ลัทธิล่างว่าจ้างเขา คิดๆดูแล้วถ้าเขาไม่รับการว่าจ้างก็จะเป็นการล่วงเกินลัทธิล่าง เช่นนั้นเขาก็จะทำได้เพียงรับงานมาเท่านั้น

ถ้าเป็นไปตามที่กล่าวมานี้ ลัทธิสิ้นโลกีย์ชั้นล่างนั้นน่าจะเป็นคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่และโหดเหี้ยมอำมหิตมากเลยนะ

แต่ลัทธิสูงนั้นก็ไม่ใช่ลัทธิที่ดีอะไรเหมือนกัน นางไม่ใช่สินค้านะ แล้วทำไมถึงได้ชอบนางเสียแล้วล่ะ ในเมื่อพึงใจนางแล้วจะไม่ต้องมาถามความคิดเห็นนางต่อหน้าเลยหรือ?

ถ้าเช่นนั้น สาเหตุที่ฝ่ายนั้นต้องการจะจับตัวนาง ก็เป็นเพราะว่าลัทธิสิ้นโลกีย์นี้ชอบนางใช่หรือไม่?

ในช่วงเวลาหนึ่งโหลชีรู้สึกว่าโลกใบนี้ก็วุ่นวายมากเหมือนกันและไม่เรียบง่ายเลยสักนิด แต่นางสามารถคาดเดาออกมาได้ลางๆว่า การที่ถูกลัทธิสิ้นโลกีย์พึงใจ อาจเป็นเพียงเพราะนางฝึกราชันอินทรีเขาหิมะให้เชื่องได้แล้วก็ได้

แม้แต่ประเทศใหญ่ๆอย่างตงชิง นั้นก็ไม่สามารถหาคนที่สามารถฝึกราชันอินทรีเขาหิมะให้เชื่องจนพบได้ ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าการค้นหาคนที่เป็นที่นิยมในหมู่พวกเขาแห่งนี้มีความยากลำบากมากเพียงใด

"คนกลุ่มนั้นก่อนหน้านี้ มาจากที่ใดกัน?"

"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า!" ราชาปลาแม่น้ำชิงกลอกตามองบน "ข้าราชาปลาผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไกล เป็นธรรมดามากที่พวกเขาจะรู้จักข้า และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะรู้จักทุกคนเช่นกัน!"

เสียเวลาคุยชิบ หลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วกลางขึ้นเพื่อชอบอวดเบ่งของเขา

ราชาปลา ลูกชิ้นปลาอะไรบ้าบอเนี่ย

"รีบคืนของนั่นมาให้ข้า อย่างมากที่สุดข้าสัญญาว่าจะยกเลิกข้อตกลงนี้ และจะไม่รับงานนี้แล้ว!"

"โอ้ จริงรึ?" โหลชีถือปลาโพรงไม้นั่นขึ้นมาแล้วเคาะเบาๆไปที่ขอบเรือ ทันใดนั้นก็หมุนมือซ้ายหนึ่งรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่านางทำได้อย่างไร มีเปลวไฟกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนนิ้วมือของนาง ไส้เปลวไฟมีสีฟ้าสลัว และมีเปลวไฟสีแดงก็กำลังกระโดดไปมาอยู่ข้างบน

นางเอาปลาโพรงไม้นั่นเข้าไปใกล้ๆ

สีหน้าของราชาปลาแม่น้ำชิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

หญ้าคร่าชีพกลัวไฟไม่ผิดเลย! แต่ไม่ใช่ว่าไฟธรรมดาจะสามารถเผามันให้ตายได้ เช่นนั้นต้องใช้ไฟที่เพิ่มพิษเข้าไปจึงจะสามารถเผามันให้ตายได้ เขาคิดเสมอว่าไม่มีใครรู้ข้อนี้ แต่ตอนนี้เมื่อมองดูเปลวไฟที่อยู่บนนิ้วมือของโหลชี การลุกไหม้แบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการเผาด้วยสิ่งที่มีพิษ!

"ไม่เอา! ไม่เอาไม่เอา! แม่นางมีอะไรก็พูดกันดีๆนะ พูดกันดีๆ!" เขาทำหน้าบึ้งไม่ไหวแล้ว และท่าทีที่เขามีต่อโหลชีก็รีบเปลี่ยนไปแล้วในทันใด

"ไม่มีอะไรจะพูดดีๆแล้ว เรื่องที่ควรถามเจ้าข้าก็ถามไปหมดแล้ว เรื่องอื่นๆเจ้าก็ไม่รู้แล้ว ยังจะมีอะไรให้พูดดีๆอีกรึ?" โหลชีเอียงศีรษะถามด้วยความไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

ในสายตาของราชาปลาแม่น้ำชิง ท่าทางนี้ของนางช่างกวนบาทามากเสียจริง ทำให้เขารู้สึกเกลียดชังจนคันฟันยิบๆและแทบอยากจะตบนางให้ตายไปหนึ่งฉาด แต่ในสายตาของหยุนเฟิง กลับรู้สึกว่านางขี้เล่นและน่ารัก สดใสและฉลาดเฉียบแหลม จนทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้

"แม่นาง คุณหนู แต่ว่าก่อนหน้านั้นเจ้าเคยสัญญาอย่างชัดเจนแล้วว่า ตราบใดที่ข้าตอบคำถามของเจ้าแล้ว เจ้าจะคืนของสิ่งนั้นให้ข้านะ" ราชาปลาแม่น้ำชิงเกือบจะร้องไห้แล้ว

"ให้พวกทหารกุ้งและแม่ทัพปูของเจ้ากลับลงไปในแม่น้ำ แล้วว่ายไปด้านนั้นเสียก่อน" โหลชีชี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่พวกเขากำลังจะเดินทางไป ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำไหลซัดสาดมารวมกันนั่นเอง "อย่าได้คิดเล่นลูกไม้อะไรล่ะ ถ้ามีใครกล้าดำน้ำลงไปใต้เรือ ข้าก็จะเผาสิ่งนี้ทิ้งทันที"

"ได้ยินหรือไม่? กระโดดสิ กระโดดลงไป ทุกคนว่ายไปให้เร็วมันๆหน่อย!" ราชาปลาแม่น้ำชิงถีบลูกน้องที่อยู่ข้างๆคนหนึ่งลงไปหนึ่งที

คนเหล่านั้นจึงทยอยกระโดดกลับลงไปในแม่น้ำทีละคนๆ และว่ายไปตามทางที่พวกเขามาอย่างสุดชีวิต ความสามารถในการว่ายน้ำของพวกเขาล้วนแต่ดีมากจริงๆ ไม่นานก็ว่ายออกไปไกลระยะหนึ่งแล้ว

"คุณหนู ทีนี้ได้การแล้วใช่ไหม?"

"เจ้าก็กระโดดด้วยสิ กระโดดไปทางนั้นนะ"

โหลชีชี้ไปอีกทางหนึ่ง

ราชาปลาแม่น้ำชิงใกล้จะบ้าคลั่งแล้ว "ถ้าข้ากระโดดลงไปแล้วเจ้าเผาของสิ่งนั่นจะทำอย่างไร?"

"ถ้าเจ้าไม่กระโดด ข้าก็จะเผามันเดี๋ยวนี้" โหลชีพูดอย่างกวนบาทามาก ของอยู่ในมือนาง นางจะไร้ยางอายอย่างไรก็ย่อมได้

ตูม ราชาปลาแม่น้ำชิงบินขึ้นมาและกระโดดลงไปในน้ำแล้ว พอหันศีรษะมองเข้ามา ก็เห็นโหลชีจุดไฟเผาสิ่งนั้นไปเสียแล้ว หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น แล้วโยนของสิ่งนั้นออกไปไกลๆ

เปลวไฟลอยขึ้นไปในอากาศเป็นเส้นพาราโบลาเส้นหนึ่ง แล้วตกลงไปในน้ำ

"อ๊ากๆๆ!"

ราชาปลาแม่น้ำชิงทรุดตัวลง ร้องโหยไห้สองสามครั้ง แล้วมุดศีรษะลงไปในน้ำ และว่ายไปด้านนั้นแล้ว

หยุนเฟิงมองไปที่โหลชีอย่างพูดอะไรไม่ออก "เจ้ายั่วเย้าเขาเล่นแบบนี้ ไม่กลัวว่าเขาจะมาสร้างความลำบากเจ้าในภายหลังรึ?"

ในขณะที่โหลชีกำลังใช้กำลังภายในช่วยเขาขับเคลื่อนเรืออยู่ ก็หัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แล้วจึงพูดว่า "ข้าจะกลัวเขาทำไม? ถ้าเขามาอีก ฉันก็ยังสามารถยั่วเย้าเขาเล่นตามเดิมได้อีกครั้ง"

ผู้หญิงคนนี้ ช่างพิเศษจริงๆ พิเศษสุดๆไปเลย

"ลัทธิสิ้นโลกีย์ เป็นอะไรกันแน่?"

"เจ้าคิดว่าอยู่ทางนี้มีคนพูดถึงลัทธิสิ้นโลกีย์น้อยมากใช่หรือไม่?" หยุนเฟิงถามกลับ

ในขณะที่หยุนเฟิงกำลังมองกล่องที่อยู่ในมือ เขาอดยิ้มไม่ได้เล็กน้อย เมื่อเปิดกล่องออก มีดอกบัวที่สวยแปลกตาดอกหนึ่งนอนอยู่ข้างใน กลีบสีเลือดแวววาว ดั่งเช่นผลึกหินสีแดงผืนหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับน้ำสีแดงใสที่ถูกคั้นออกมาอย่างไรอย่างนั้น

"แม่นาง บัวเลือดเขาน้ำแข็ง เจ้ายินยอมเอาคืนกลับมาหรือไม่?"(ในภาษาจีน เลือดกับหิมะออกเสียงคล้ายกัน)

โหลชีไม่รู้เลยว่านี่คือบัวเลือดเขาน้ำแข็ง ไม่ใช่บัวหิมะเขาน้ำแข็ง

ต่างกันคำเดียว มูลค่าแตกต่างกันเป็นพันเท่า บัวหิมะนั้นมีค่า แต่บัวเลือดนั้นหายาก แม้แต่ในแง่ของสรรพคุณ นั่นก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง

และนางก็ไม่รู้ว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากที่นางจากไป คนเหล่านั้นในทุ่งน้ำแข็งได้ล้อมโจมตีเฉินซ่าก่อน ต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็ค่อยทยอยได้ยินข่าวของบัวเลือดเขาน้ำแข็งเพราะว่าหาไขหินพันปีไม่เจอ ดังนั้นจึงเตรียมตัวไปหาบัวเลือดเขาน้ำแข็งก่อน

โหลชีรีบมุ่งเดินทางไปที่ทุ่งน้ำแข็ง เดิมทีนางไม่รู้ทิศทางเลย แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวันแล้ว นางจึงได้พบกับพ่อค้ากลุ่มหนึ่งเข้าแล้วในตอนเที่ยง แล้วจึงถามทาง และถือโอกาสถามไปซะเลยว่าทุ่งน้ำแข็งอยู่ไกลแค่ไหน แต่ทว่าคำตอบที่นางได้รับกลับทำให้นางถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะพูดว่าถ้าเดินเท้าจะต้องใช้เวลาเดินอย่างน้อยสิบวัน แต่ถ้ามีรถม้าคาดว่าสามวันก็ถึงแล้ว

แต่ในตอนนั้นนางได้หลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ?

โหลชีเชื่อว่าตัวเองหาเส้นทางเดิมไม่พบแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินลัดเลาะไปทางลัด แต่เมื่อฉันถามพ่อค้าที่เดินทางอยู่บนถนนสายนี้มานานคนนั้น พวกเขากลับสาบานด้วยใจจริงว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีทางลัดที่ใกล้ขนาดนั้น

ในเวลานั้นเองโหลชีก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ตอนนั้นนางถูกขังอยู่ในกล่องจึงไม่สามารถมองเห็นสภาพถนนด้านนอกได้ แต่ถ้าพวกเขาทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่แน่ว่าเฉินซ่าอาจจะกำลังไล่ตามพวกเขาไปตามเส้นทางเดิมจริงๆ เช่นนั้นนางก็คงจะพลาดโอกาสไปแล้วก็ได้

โหลชีจึงตัดสินใจว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องหาม้าหรือรถม้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากันทีหลัง

แต่พ่อค้ากลุ่มนั้นกลับไม่มีม้าเหลือให้นาง นั่นคือพ่อค้าที่ซื่อสัตย์กลุ่มหนึ่ง นางจึงไม่สามารถทำเรื่องที่จะข่มเหงรังแกคนซื่อสัตย์ที่บอกเส้นทางแก่ตนเองโดยละเอียดได้ นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นแทน

ในตอนบ่าย เมฆสีดำค่อยๆม้วนตัวเข้ามา ลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งก็โหมกระหน่ำขึ้นมา ท้องฟ้าที่เดิมทีมีแดดจ้าก็มืดครึ้มลงดั่งเช่นตอนกลางคืนในทันทีโหลชีไม่ทันได้หาสถานที่ที่จะไปหลบฝนเลย ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาปานฟ้ารั่วเสียแล้ว

"เกลียดจะตายอยู่แล้ว" โหลชีแอบรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่ในใจเงียบๆ แล้วก้มหน้าก้มตาวิ่งตรงไป ด้านหน้ามองเห็นว่ามีบ้านคนอยู่รำไรๆ เร่งเดินทางฝ่าฝนไปตามถนนอีกช่วงหนึ่งก็ถือว่าถึงแล้ว

"แม่นาง แม่นาง"

มีเสียงกีบม้าและเสียงล้อรถดังขึ้นมาจากด้านหลัง และยังมีคนตะโกนขึ้นมาอีกด้วย

พอโหลชีหันหน้ากลับไป ก็เห็นเพียงรถม้าคันหนึ่งวิ่งห้อตะบึงมาหานางท่ามกลางสายฝนและหมอก แล้วชายร่างใหญ่ที่ขับรถก็โบกมือให้นางด้วยความประหม่า ในตอนแรกโหลชีคิดว่าม้าของเขาสูญเสียการควบคุมและต้องการให้นางหลีกทาง ดังนั้นนางก็เลยหลบออกไปด้านข้างก่อน แต่พอรถม้าคันนั้นวิ่งถึงข้างกายนางมันกลับหยุดลงเสียแล้ว และชายร่างใหญ่ที่ไว้หนวดเคราใหญ่ๆก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วพูดกับนางว่า "ฝนตกหนักขนาดนี้รีบเข้ามาหลบฝนสักหน่อยเถอะ!"

แม้ว่าการมาของรถม้าคันนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปจริงๆ แต่โหลชีเป็นคนที่ถ้าสามารถสนุกเพลิดเพลินอยู่นอกเหนือภาระหน้าที่ได้นางก็จะเพลิดเพลินไปกับมัน การมีรถม้าให้นั่งยังดีกว่าการที่นางต้องวิ่งตะบึงฝ่าสายฝนไปตลอดทางในตอนนี้ ดังนั้นนางจึงกล่าวขอบคุณเขา แล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นก็ยกม่านขึ้นมองเข้าไปข้างในก่อน

"ในรถไม่มีใครอยู่หรอก ข้าเพิ่งจะไปส่งคนในครอบครัวของเจ้านายที่เมืองข้างๆมาน่ะ" ชายร่างใหญ่คนนั้นพูด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ