แต่พอเขามองหน้าโหลชี เขาใจกระตุกโดยแรง
เขาเห็นบนใบหน้าโหลชีแทบจะประทับไปด้วยลวดลายของน้ำนั่น เหมือนกับโครงกระดูกใหญ่หดตัวเล็กลงหลายเท่า จากนั้นแนบตัวลงบนใบหน้านาง ใบหน้าขาวเนียนของนางแต่เดิม ตอนนี้เต็มไปด้วยลวดลายสีดำ เขามองไม่เห็นหน้านางเต็มๆ แต่ใบหน้าด้านข้างแบบนี้ก็เพียงพอทำให้เขาตกตะลึงแล้ว เขาอยากถามนางว่าตอนนี้เจ็บปวดมากหรือไม่ มากกว่าเขาใช่หรือไม่ แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้
โหลชีแบกรูปร่างสูงใหญ่ของเขาไว้บนหลังพยายามแหวกว่ายไปข้างหน้านั่นมันยากเกินไปแล้ว ยากเกินไปจริงๆ ในความรู้สึกของเฉินซ่า พวกเขาเหมือนว่ายในน้ำมาชาติหนึ่งแล้ว อันที่จริงยังไม่ถึงหนึ่งเค่อเลยด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาเห็นผิวน้ำดำมืดด้านหน้ามีประกายสว่างขึ้นมา เหมือนปากมหึมากำลังอ้าออก ในนั้นมีฟันแหลมคม ไม่มีอะไรอย่างอื่น มีเพียงปากนี้เท่านั้น รอพวกเขาอยู่ที่ทางออก เหมือนรอพวกเขาเป็นแมงหวี่บินเข้ากองไฟเอง
แต่โหลชีกลับเพิ่มความเร็วในตอนนี้ขึ้น เร็วมาก เร็วมากๆ เหมือนว่าเขาไม่มีน้ำหนักยังไงยังงั้น ไม่กลายเป็นภาระนางอีก เขามองใบหน้าโหลชี พบว่าลวดลายสีดำพวกนั้นกลายเป็นสีแดงหม่น ใบหน้าโหลชีบิดเบี้ยว เขาได้ยินเสียงนางกัดฟัน เหมือนกำลังแบกรับความกดดันมหาศาลอยู่
เฉินซ่าปวดใจนัก เขารับรู้รสชาติของการปวดใจ ใจเขาปวดมากยิ่งนัก ความเจ็บปวดเยี่ยงนี้กลับเหนือกว่าความเจ็บปวดของร่างกาย แต่มันเจ็บปวดเหมือนกันเลย เจ็บปวดมากเลย
เขารู้ว่าชาตินี้เขาไม่อาจปล่อยมือจากสตรีผู้นี้ได้อีกแล้ว เป็นไปไม่ได้ ต่อให้นางจะต้องตาย เขาก็จะตายเป็นเพื่อนนาง มิยอมอยู่โดยไร้นางแน่
เวลานี้โหลชีพูดอะไรไม่ออกเลย ในน้ำเหมือนมีมือนับไม่ถ้วนคอยฉุดรั้งนาง ดึงผมนาง ดึงขานาง ดึงมือนาง บางมือคล้ายจะดึงเสื้อผ้านางด้วย
ความรู้สึกนั้นมันช่างน่ากลัวสยดสยองจริงๆ แต่นางรู้ว่าตนเองจะหยุดไม่ได้ ถ้านางหยุด นางกับเฉินซ่าต้องโดนดึงรั้งอยู่ที่นี่แน่ ไม่สามารถออกไปได้ตลอดกาล
นางกัดลิ้นตัวเองจนได้เลือด ความเจ็บปวดและรสชาติยาในเลือดนางให้พลังงานแก่นาง นางว่ายน้ำไปข้างหน้า พลางวาดยันต์ไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอด ทำสองสิ่งในเวลาเดียวกัน
ยันต์ที่นางเขียนมีผลช่วยสกัดน้ำ ช่วยนางกระจายน้ำที่ไหลมาข้างหน้า สามารถทำให้นางเร็วขึ้นได้อีก และเพราะอย่างนี้ นางถึงได้เร็วขึ้น
แต่ยันต์แบบนี้สิ้นเปลืองพลังงานนางมาก นางยังต้องแบกเฉินซ่าว่ายไปข้างหน้า ถ้าหมดแรง ทั้งคู่ก็กับตายเหมือนกัน
ปากใหญ่ข้างหน้านั่นนางก็เห็นเหมือนกัน นั่นเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่นางต้องทลาย สรรพสิ่งฝันยิ้มไม่ใช่บอกว่าสิ่งมีชีวิตออกมาแล้วจะยิ้มได้ ยิ้มนั้นแปลกประหลาดมาก เหมือนปีศาจร้ายโดนปล่อยตัว มีความทะยานอยากกลับไปยังโลกเพื่อทำร้ายผู้อื่น อันที่จริงค่ายกลอย่างสรรพสิ่งฝันยิ้ม โหลชีแค่เคยได้ยินมาก่อน แต่จะให้ทลายยังไงนางก็ไม่รู้หรอก เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ต่อให้เป็นนักพรตเลวก็ไม่เคยเหมือนกัน พวกเขาแค่เคยคุยกันเรื่องค่ายกลนี้ แล้วทำเหตุการณ์จำลองว่า ถ้าเจอจริงๆจะทลายยังไง
ตอนนี้ที่โหลชีคิดคือ จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ นางจะไปเจอค่ายกลแบบนี้ที่ไหนกัน? ดังนั้นนางเลยไม่ได้คิดแผนออกมาได้จริงจังมาก
แต่นางไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งตนเองต้องมาเจอค่ายกลนี้ และยังหาทางทลายมันให้ได้ ใช่ ต้องทลายให้ได้ นางไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ไม่อยากตายในค่ายกลร้ายกาจอย่างนี้
นักพรตเลว ถ้าวันไหนฉันได้เจอแกอีกนะ ต้องซัดให้หนักเลย! โหลชีคิดมาดร้ายในใจ
ตอนนี้เองนางเข้าใกล้ปากใหญ่นั่นแล้ว ในตอนนี้เองที่หลังพลันมีแรงกระชากอย่างแรง เหมือนจะกระชากเฉินซ่าออกไป โหลชีใจกระตุก พิชิตวันในอีกมือหนึ่งตวัดฟันไปด้านหลังทันที
น้ำ เป็นน้ำทั้งนั้น น้ำที่รวมตัวเป็นรูปมือ โดนพิชิตวันฟันก็กระจายไป แต่ไม่นานก็รวมตัวใหม่อีกครั้ง กลายเป็นมือใหญ่อีก ยื่นเข้ามาจะดึงขาเฉินซ่า
น่าตายนัก
มือโหลชีวาดยันต์ใส่มือนั้น ระลอกคลื่นเกิดผันผวนขึ้นมาระลอกใหญ่ ฟองน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ฟองน้ำระเบิดมากมายขนาดนี้ แรงผลักดันสูงมากเช่นกัน พริบตาเดียวก็ผลักโหลชีกับเฉินซ่าไปเข้าปากใหญ่นั่น ตอนนี้เอง โหลชีกลั้นหายใจแทบจะไม่ไหวแล้ว พวกเขาอยู่ในน้ำกัน นางไม่รู้ว่าวิชากลั้นหายใจของเฉินซ่าเก่งมากกว่านางมากไหม แต่ตอนนี้ควรจะโผล่ขึ้นเหนือน้ำไปหายใจแล้ว หน้าอกนางรู้สึกเหมือนจะระเบิด
แต่ถ้านางถูกปากใหญ่นั่นดูดเข้าไปจริงๆ โหลชีคาดเดา ในนั้นคงเป็นภาพลวงตาแน่ เพราะสรรพสิ่งฝันยิ้มไม่มีทางเป็นค่ายกลง่ายๆแบบนี้
ภาพลวงตาก็คือภาพลวงตา ถ้าพวกเขาตกอยู่ในภาพลวงตา แต่ความจริงแล้วอยู่ในน้ำ เกิดลืมกลั้นหายใจ ลืมขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำ พวกเขาคงจมน้ำตายในภาพลวงตาไปเงียบๆนี่แหละ
ตายก็ตายแหละ แต่ตายในค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้มเนี่ยไม่ใช่อะไรที่สนุกเลย ไม่สามารถจบสิ้นกันแค่นี้ นางเดาว่าพวกนางสองคนคงโดนจับไปใช้วิชาลับทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดแน่
พอกลายเป็นหุ่นเชิด แต่วิทยายุทธ์พวกเขาไม่หายไป ตรงกันข้ามยังจะร้ายกาจกว่าตอนมีชีวิตอยู่เสียอีก โดยเฉพาะเฉินซ่า ในตัวยังมีหนอนกู่กับพิษร้าย สีหน้าเขียวเทา สายตาเรียบเฉยไร้ชีวิตฟังผู้อื่นออกคำสั่ง เหมือนหุ่นยนต์สองตัว ให้ฆ่าใครก็ฆ่า ให้ทำอะไรก็ทำ
บางทีเป็นไปได้อีกอย่าง พวกเขาจะมาฆ่ากันเอง สุดท้ายเหลือราชาหุ่นเชิดตัวหนึ่งออกมา
นางไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่นะ!
สองตาโหลชีราวกับจะปูดโปนออกมา นางกัดลิ้นตนเองให้เลือดไหลอีกครั้ง
เฉินซ่ารับรู้ได้ว่าร่างกายนางสั่นเทา เขาเห็นเลือดไหลรินจากมุมปากนางออกมาหล่นลงน้ำ เฉินซ่าใจกระตุกอย่างแรง ไม่ต้องถามเลย ไม่ต้องให้นางพูด เขารู้ดีว่า ความเจ็บปวดที่นางได้รับในเวลานี้ไม่มีทางด้อยไปกว่าตัวเขาแน่
เฉินซ่ารู้สึกว่าตนมีบุญพาวาสนาแต่ปางไหนกัน ถึงสามารถมีนางเยี่ยงนี้อยู่ข้างกายตน! ไม่ว่านางจะมีกำเนิดเยี่ยงใด เขาจะไม่มีทางปล่อยมือ ไม่มีวันเด็ดขาด
โหลชีกระชากเขาเข้ามาประจันหน้า ถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธจัด ตามหลักแล้วโดนนางใช้ยาและเข็มสกัดไปแล้วเขาต้องขยับตัวไม่ได้เลยสิ ไม่ได้แน่ๆ!
เฉินซ่าได้ยินดังนั้นได้แต่มองนางนิ่งๆ ในช่วงเวลาคับขันนั่น เขาเห็นนางเพียงหลับตาลง ไร้สิ้นเรี่ยวแรงไปทั้งร่าง อ่อนยวบจมลงน้ำลึก ดูเหมือนไม่ใช่แค่ร่างกายไม่ไหว ใจนางก็ยอมแพ้แล้วเช่นกัน ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจิตใจเขาในตอนนั้นหวาดกลัวและตกใจเพียงใด พริบตาเดียวร้อนใจพุ่งสูง เขาสลัดการพันธนาการออกได้หมด
แต่ผลกระทบจากการทำอย่างนี้มาในตอนนี้แล้ว เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างจนอยากตาย ความเจ็บปวดเยี่ยงนี้มากกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก ทุกครั้งที่เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจเจ็บปวดได้อีกแล้ว ก็จะมีความเจ็บปวดอีกระลอกเข้ามาทักทายเขาอีกครั้ง
เขาพยายามอดทนไว้ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว กระอักเลือดสีดำออกมาคำโต
"โง่เอ๊ย!" โหลชีตาแดงเรื่อ ด่าออกมา ในมือปรากฏเข็มยาวหลายเล่ม ปักเข้าไปที่จุดชีพจรหลักๆสองสามจุด ในตอนนี้เองผิวน้ำมีคลื่นผุดขึ้นมา
เดิมทีเป็นเพียงสายน้ำไหลเล็กๆที่ไหลเข้าเหวหน้าผา พริบตาเดียวกลับกลายเป็นบึงน้ำ เกิดฟองน้ำขึ้นในน้ำไม่หยุด ประหนึ่งเดือดจัด โหลชีกลับดีใจร้องว่า "ข้านึกว่าล้มเหลวแล้ว ไม่คิดว่าจะสำเร็จ!" ม่านแสงนั่นของนางเมื่อกี้ได้ผล มันระเบิดในปากมหึมานั่น ระเบิดภาพลวงตาไป เท่ากับว่าระเบิดทางออกให้ด้วยเลย
"ไม่ได้ละ หากพวกเราไม่ออกไปก็จะออกไปไม่ได้ตลอดกาลละ"
โหลชีจับเขาผูกใหม่ นางรู้ว่าตอนนี้เขาต้องเจ็บเจียนตาย ถ้าเป็นคนอื่นคงสลบไปนานแล้ว แต่เขากัดฟันทนมาตลอด บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ตอนแรกนางไม่ได้กลัวเขา แต่กลับรู้สึกดีกับเขานิดหน่อยด้วย บนภูเขาทุรกันดารคืนนั้น เขาเป็นขนาดนั้นแล้วยังเบิกตากว้างจ้องมอง เจ็บจนถึงขีดสุด ยังมีสติถึงขีดสุดด้วย ตอนนี้นางน่าจะรู้นะว่า นี่เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งแค่ไหน
"สรรพสิ่งฝันยิ้มนี่ ถ้าจะทะลวงค่ายกลต้องข้ามจากในน้ำไป ดังนั้นข้าเลยไม่อาจใช้วิชาตัวเบาพาเจ้าออกไปได้" นางกัดปากกรอก อธิบายบอกเขาก่อนกลับลงน้ำอีกครั้ง ไม่รอสายตาเขารับรู้ นางก็ดำน้ำลงไปใหม่
บางทีอาจเป็นเพราะเขาทะลวงการสกัดกั้นช่วยนางไว้ คราวนี้โหลชียิ่งทะลวงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ว่ายไปทางออกแล้ว
ตอนนี้บนเรือใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านนอก หยูห้วงโดนคนหลายคนผลักขึ้นหน้า ทำหน้าอยากจะพูดอะไร แต่พอเห็นสีหน้าหลายคนตรงหน้า เขาก็รู้สึกพูดไม่ออก
"ว่ามา!" เยว่โกรธแล้ว ถลึงตาใส่เขา มีอะไรจะพูดก็พูด แบบนี้ทำให้พวกเขารำคาญน่ะรู้ไหม?
"ใต้เท้าองครักษ์เยว่" ในเมื่อพวกเขารู้จักเฉินซ่า ต้องรู้จักองครักษ์เยว่หนึ่งในสี่องครักษ์ข้างกายเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เฉินซ่าไม่อยู่ ในสายตาพวกเขาแล้ว ต้องเป็นองครักษ์เยว่คนนี้แหละฐานะสูงที่สุด "พวกเราจะออกเรือไปได้หรือยังขอรับ? รอต่อไปมิรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก..."
พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือสรรพสิ่งฝันยิ้ม แต่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว สองคนนั้นยังไม่ออกมา ดูท่าคงเจอเหตุร้ายเข้าแล้ว เกิดรอต่อไป แล้วมีคนออกมาอีก หรือมีค่ายกลกับดักอะไรอีก? น่านน้ำที่พวกเขาอยู่ตอนนี้สงบเงียบมาก ไม่มีเรือลำอื่นเลย แต่มันไม่ได้ทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ