"ในกระเพาะร้อน----"
โหลชีฝืนพูดได้เพียงแค่สามสี่คำจากนั้นก็พูดอะไรไม่ออก และตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ใบหน้าของเฉินซ่าเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นได้อุ้มนางขึ้นมา และมองไปที่หมอเทวดาทันที "เกิดอะไรขึ้น?"
หมอเทวดาสีหน้าก็ดูกังวลเช่นกัน "ข้าน้อยก็ไม่ทราบ----"
ดีจิ้งจอกมารนี้เป็นเพียงสิ่งของที่มีอยู่ในตำนาน และวิธีการทานนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในตำราแพทย์โบราณของเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้เขานึกขึ้นได้ บรรพบุรุษที่บันทึกวิธีนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเขาเคยได้ลองทำเกี่ยวกับดีจิ้งจอกมารนี่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครเคยลองเลย มันเป็นแค่วิธีที่เขาคาดคะเนเท่านั้น
เพราะเขาอ่านตำราแพทย์เล่มนั้นมาเกือบทั้งชีวิตไม่เคยทำผิดพลาดเลย และโดยพื้นฐานสิ่งที่เขียนบนนั้นถูกต้องหมด ดังนั้นเขาจึงเคยชินกับการที่เชื่อในตำราแพทย์โบราณเล่มนั้น!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ หมอเทวดาก็มีเหงื่อเย็นออกมาเต็มร่างกาย
"รีบคิดวิธีเร็วเข้า!"
ความอดทนของโหลชีก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้นางเจ็บปวดมากจนกลายเป็นเช่นนี้ สามารถจินตนาการว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน! เฉินซ่ารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังจะไหม้เช่นกัน และเขาเกือบจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นด้วย สีหน้าของเขาได้ซีดขาวทันที พร้อมกับพาโหลชีอุ้มกลับไปที่ห้องโถงด้านข้าง เขาไม่ต้องการที่จะปล่อยนาง เขานั่งบนตั่ง และกอดนางไว้แน่น
"ชีชี หากเจ้าเจ็บปวดจนทนไม่ได้ จงกัดข้าเสีย"
"อู้----"
ทันทีที่เขาพูดจบ ทันใดนั้นโหลชีก็อ้าปากขึ้นและกัดไปที่ไหล่ของเขา
ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย และมีอาการปวดไหล่อย่างรุนแรง นางกัดจริงๆ กัดจริงๆ แต่เขาไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเจ็บใจจนใกล้จะทะลุแล้ว โหลชีไม่ใช่จะเป็นคนเอาแต่ใจ นางกัดจริงเช่นนี้ นั้นเพื่อบ่งบอกถึงว่านางนั้นได้เจ็บปวดมากจริงๆ
"หมอเทวดา!" เฉินซ่าตะโกน "รีบบรรเทาความเจ็บปวดให้นาง!"
ที่ผ่านมาเป็นนางที่บรรเทาความเจ็บปวดให้เขา แต่ตอนนี้ถึงคราวที่นางเจ็บปวด แต่เขากลับทำอะไรไม่ถูก! เฉินซ่าเกลียดความรู้สึกนี้มาก และเกลียดพลังที่ไร้ความสามารถแบบนี้ของตัวเอง!
"ข้าน้อยจะหาวิธี......บัวเลือด ไม่ๆ บัวเลือดไม่เหมาะ......น้ำบึงโยวถาน ใช่แล้ว ลองใช้น้ำนำในบึงโยวถาน" หมอเทวดารีบจนกระวนกระวาย เพียงแค่ว่าตัวเองรอไม่ไหวอยากจะมีสองสมองที่นำมาใช้คิดหาวิธี "ฝ่าบาท น้ำในบึงโยวถานนั้นเย็นมาก หากกระเพาะไหม้ดูว่าจะสามารถแก้มันได้หรือไม่----"
"ไม่----"
โหลชีปล่อยฟัน และปากมีกลิ่นหวานเล็กน้อย ทันใดนั้นนางถึงได้พบว่าตัวเองกัดไหล่ของเฉินซ่าจนเลือดไหลออกมาแล้ว นางจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย และพบว่านางได้กลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่ได้สังเกตว่าตัวเองก็ได้กลืนเลือดของเขาลงไปเล็กน้อย
นางพยายามอย่างหนักที่จะทำให้สติกลับคืนมา "น้ำในบึงโยวถาน...ไม่เหมาะ..." นางต้องการจะพูดว่า นางรู้สึกว่าสิ่งที่หมอเทวดาพูดก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว จิ้งจอกมารกับดอกในหิมะต่างเติบโตในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น ความหนาวเย็นระหว่างทั้งสองสามารถจินตนาการได้ หากใช้น้ำในบึงโยวถานที่เย็นเฉียบอีกครั้ง ยิ่งจะทำให้ความเยือกเย็นนั้นรุนแรงเพิ่มมากขึ้นไม่ใช่หรือ?
เช่นนั้นจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของนางได้อย่างไร
เพียงแค่นางเจ็บปวดมากจนไม่มีวิธีที่จะพูดให้ชัดเจน----
เฮ้ ไม่ใช่ ความเจ็บปวดดูเหมือนจะเบาบางลงบ้างแล้ว?
โหลชีเอามือแตะไปที่ตำแหน่งกระเพาะ และสัมผัสอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อยแล้วจริงๆ! แม้ว่ายังเจ็บปวดจนนางเกือบตาย แต่มันก็ดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้าจริงๆ
หมอเทวดากำลังรอคำพูดต่อไปของนาง แต่ในขณะนี้นางกลับเริ่มคิดขึ้นมาแล้ว แต่นางก็ไม่มีเวลาที่จะได้พูด
"แม่นางโหลดีขึ้นบ้างแล้วใช่หรือไม่?"
หมอเทวดาสังเกตสีหน้าของนาง และกล่าวด้วยความดีใจทันที
โหลชีกำลังจะพยักหน้า แต่ท้องกลับเริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง และการบรรเทาลงเล็กน้อยก่อนหน้านั้นดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา นางกัดริมฝีปากล่างทันที กัดจนริมฝีปากตัวเองมีเลือดออก
"ปล่อย!" ดวงตาของเฉินซ่าเปื้อนด้วยความเจ็บปวด บีบแก้มนาง และเอามือตัวเองมาแตะริมฝีปากของนาง "อย่ากัดตัวเอง"
โหลชีเงยหน้าขึ้นมองเขา อ้าปากกำลังจะกัดมือของเขา และจู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในหัว ก่อนหน้านี้นางได้กัดไหล่ของเขาจนเป็นแผล ดูเหมือนว่ากลืนเลือดของเขาเข้าไปเล็กน้อย แล้วความเจ็บปวดก็ดีขึ้น เป็นไปได้ไหม ที่เลือดของเขาสามารถหยุดความเจ็บปวดของนางได้?
เมื่อเห็นว่านางมองมาที่ตัวเองแบบนี้ เฉินซ่าคิดว่านางทำใจที่จะกัดไม่ได้ และได้เอามือยัดเข้าปากนาง "กัด"
โหลชีหันหน้า แล้วดึงปกคอเสื้อออกจากกันด้วยมือที่สั่นเทา เผยให้เห็นไหล่ของเขา ซึ่งยังคงมีเลือดออกจากรอยฟันลึกบนไหล่ของเขา
นางไม่ได้ลังเล ทันทีที่เอาริมฝีปากไปทับลงไป แล้วดูดเลือดเขาอย่างแรง ถึงอย่างไรก็มีแผลแล้ว ทำไมจึงต้องไปกัดให้มากขึ้นอีกที่ล่ะ
"ฝ่าบาท----" หมอเทวดาตกใจ และต้องการช่วยดึงโหลชีออกมาโดยจิตใต้สำนึก เฉินซ่าเหลือบมอง และเขาก็รีบถอยกลับทันที
เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร แค่รู้สึกว่านางใช้แรงดูดเลือดของตัวเองอย่างรุนแรง และเหมือนไม่ต้องการที่จะหยุดมันเลย แต่ในไม่ช้าโหลชีก็ดูดเลือดไม่ออก อย่างไรก็ตามเป็นเพียงรอยฟัน ยังกัดไม่ลึกมาก และเลือดที่ไหลออกมาก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เฉินซ่าใช้มือข้างหนึ่งดึงพิชิตวันออกจากเอวของนาง ยกมือขึ้น และพิชิตวันได้กรีดถัดจากรอยฟัน ทันใดนั้นได้สร้างบาดแผลที่ลึกได้มีเลือดสดๆ ไหลออกมา เขาพูดอย่างใจเย็น "ดูดสิ"
"ท่าน----" โหลชีผงะ การเคลื่อนไหวของเขาเร็วเกินไป และเพราะว่านางเจ็บปวดจึงได้มีผลกระทบต่อปฏิกิริยาของนาง ยังไม่ได้สติกลับมา เขาได้กรีดตัวเองแล้วหนึ่งรอย เมื่อเห็นท่าทีที่ยังเย็นชา นางจึงกัดฟัน และรีบเคลื่อนเข้าหาบาดแผลของเขาทันที
หมอเทวดามองดูอย่างตกตะลึงอยู่ด้านข้าง
มีอย่างนี้ที่ไหน มีอย่างนี้ที่ไหน ฝ่าบาทถึงกับทำร้ายตัวเองเพื่อปล่อยให้โหลชีดูดเลือด! ทำไมโหลชีถึงต้องการดูดเลือดของเฉินซ่าอย่างกะทันหันเช่นนี้? นี่ นี่ นางจะกลายเป็นปีศาจหรือ?
โหลชีเหลือบมองที่นางโดยไม่พูดอะไรสักคำ คว้าแขนของเฉินซ่าขึ้น และถูใบหน้าและริมฝีปากตัวเองไปบนแขนเสื้อของเขา เช็ดคราบเลือดไปบนแขนเสื้อของเขาทั้งหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงได้ลุกขึ้นยืน
เมื่อองครักษ์เสวี่ยเห็นสิ่งนี้ก็ตกใจ ความหึงหวงทำให้นางลืมความแปลกประหลาดของโหลชีเมื่อครู่ไป และได้ก้าวไปข้างหน้าและชี้หน้าด่าโหลชี "เจ้าบังอาจทำร้ายนายท่าน ยังกล้าดูเลือดนายท่าน เจ้าว่าเจ้าใช่ปีศาจหรือไม่?"
"ปีศาจ?" โหลชีเหลือบมองนางและพูดว่า "หากข้าเป็นปีศาจจริงๆ ข้าคงต้องดูดเลือดของเจ้าก่อนอย่างแน่นอน"
นางคิดไม่ถึงว่า เลือดของเฉินซ่าจะหยุดความเจ็บปวดเมื่อครู่ของนางได้ ตอนนี้นางไม่ได้เจ็บปวดแล้ว เพียงแค่ ถูกบังคับให้ดื่มเลือดมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และอีกทั้งในปากยังมีกลิ่นคาวเลือด นางต้องไปล้างปากแปรงฟันก่อน ขี้เกียจที่จะพูดกับองครักษ์เสวี่ย
องครักษ์เสวี่ยโมโหมาก "เจ้ากล้าทำร้ายนายท่าน ทหาร ทหาร นำตัวโหลชีไปลงโทษ!"
"ใครให้ความกล้ากับเจ้ากันแน่ กล้าออกคำสั่งข้ามข้า?" น้ำเสียงเย็นชาของเฉินซ่าทำให้นางมีสติขึ้นมาบ้าง และได้เผชิญหน้ากับสายตาที่เย็นชาของเฉินซ่า คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถอ่านความอบอุ่นได้เลย ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจขององครักษ์เสวี่ยได้สั่นเล็กน้อย
"ไสหัวไป อย่าต้องให้ข้าได้พูดเป็นครั้งที่สอง"
องครักษ์เสวี่ยตัวสั่นเทา กัดฟันแล้วหันหลัง ได้นึกถึงอะไรบางอย่าง จึงได้หยุดนิ่งแล้วพูดว่า "ฝ่าบาท คือผู้อาวุโสสามต้องการพบโหลชี----"
"เขาอยากพบ ก็จะให้เขาได้พบหรือ?" เฉินซ่าลุกขึ้นยืน แล้วจับมือโหลชี น้ำเสียงดูอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ไม่เป็นอะไรแล้ว?"
โหลชีพยักหน้าและพูดว่า "ใช่ ไม่เป็นไรแล้ว" แล้วสำหรับสิ่งนี้ทำไมนางต้องคิดให้ชัดเจนด้วยล่ะ
"กลับ" เฉินซ่าดึงนางออกจากตำหนักยา หมอเทวดาอดที่จะปาดเหงื่อออกไม่ได้ เมื่อครู่ทำให้เขาตกใจกลัวแทบตาย หัวใจดวงนี้เต้นขึ้นๆ ลงๆ แทบจะทนไม่ไหว เขาแก่แล้วหรือ----
มองดูหลังของพวกเขา ฟันขาวสองแถวขององครักษ์เสวี่ยใช้แรง กัดที่ริมฝีปากของตัวเองจนเลือดออก ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และในใจของนางรู้สึกถึงแค่ความเกลียดชังอย่างควบคุมไม่ได้
นางออกจากตำหนักยา และรีบไปที่ตำหนักรับรองแขกที่ฟ่านฉางจื่อพักอยู่ เพิ่งเข้าไปในลานนางก็เกือบจะชนกับชายหนุ่มที่คุมรถม้า
"ทำไมองครักษ์เสวี่ยถึงได้ลุกลี้ลุกลนด้วยเล่า?"
"ข้าต้องการเข้าพบผู้อาวุโสสาม"
"ท่านอาจารย์ไม่ใช่ให้ใต้เท้าองครักษ์เสวี่ยพาโหลชีมาที่นี่หรือ?"
"ใช่ แต่----" องครักษ์เสวี่ยกล่าว "สถานะของโหลชีในตำหนักจิ่วเซียวตอนนี้สูงกว่าข้า ข้าเรียกให้นางมาแต่นางไม่ฟัง ยังบอกว่า ผู้อาวุโสสามให้นางมาก็จะมา ไม่เป็นการไม่ไว้หน้าหรอกหรือ?"
ฟ่านฉางจื่อที่ในห้องได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก "นางพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ